ปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันใด
LSVคลังสมองออนไลน์
 
*
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน มีนาคม 28, 2024, 06:52:05 PM


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น


หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันใด  (อ่าน 5642 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 07:02:24 PM »

บ้านดินของโจน จันได ที่เชียงใหม่

โจน จันได ลูกชาวนาแห่งยโสธร
ผู้เชียวชาญในการสร้างบ้านดิน ของประเทศไทย
เดินทางไปรอบโลกเพื่อนำเสนอแนวทางในการสร้างบ้านดิน
นักปราชญ์ที่มีแนวคิดในการดำรงค์ชีวิตอย่างมีความสุขและเรียบง่าย
จนได้รับการขนานนามจากรายการเจาะใจ ว่า "คนจนผู้ยิ่งใหญ่"

กับปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันใด

"ชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราทำให้มันยากเอง
และอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้คือ
ใช้เวลาไม่มากนักในการหากิน มันเหลือกินแล้ว
แต่เราใช้เวลาเยอะมากในการหาเพื่อครอบครัว
ฉะนั้นใช้ชีวิตให้ง่ายดีกว่า
หลังจากนั้นมา ผมก็เชื่อในเรื่องชีวิตนี้มันง่ายมาตลอด
ทำไมต้องทำให้มันยาก
ก็เลยเปลี่ยนชีวิตผมมาตลอดเลย
ไปอยู่บ้านผมยิ่งสบาย ผมพยายามที่จะพูดกับคน
คนที่เย็บหมอนที่บ้านว่าทำหมอน
หมอนพวกสามเหลี่ยม หมอนหนุน
เย็บหมอนทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่มีเงินไปซื้ออาหารจากตลาดมา
วันเดียวหมดมื้อเดียว

ผมบอกว่า ถ้าทำสวนเองเนี่ย อย่างผมเนี่ย
ดูแลสวนแค่ 10-15 นาทีต่อวันเนี่ย
ผมมีผัก มีมะละกอ มีอะไรให้ครอบครัว 5-6 คนอยู่ได้สบาย
ทำงานแค่ 15 นาที ทำไมต้องไปนั่งทำงานตั้งวันละ 10 กว่าชั่วโมงนี่
มันก็ทำให้ผมเห็นว่าชีวิตมันง่าย แต่อธิบายให้คนเข้าใจไม่ได้"

"รอน้ำผักแค่วันละ 15 นาที
แต่บางอาทิตย์อาจจะใช้เวลามากกว่าเป็นชั่วโมงก็มี
บางครั้งก็อาจจะไปหาขี้วัว หาอะไรมาใส่ด้วย
ซึ่งมันไม่บ่อยนักหรอกนะแค่ครั้ง สองครั้ง
แต่ปกติแล้ว 15 นาที ถือถังตักน้ำแล้ก็เดินมารดผัก"
"ทำปุ๋ยหมักใช้เอง"

เขาเริ่มทำบ้านดินหลังแรกจากความคิด
ผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำบานดินในหนังสือของฝรั่ง
เมื่อสำเร็จหลังแรก ก็ทำหลังต่อๆมา
ให้กับชุมชนในหมู่บ้าน
จนกระทั่งมีชื่อเสียง
ได้รับเชิญเป็นวิทยากรแนะนำการสร้างบ้านดิน
เป็น work shop ที่มีสมาชิกเข้าร่วม มากมาย


ในความเห็นของโจน
"การทำบ้านดินไม่ใช่เป้าหมายหลัก ของการทำ Work Shop ที่เราทำอยู่
เป้าหมายหลักก็คือ หัดทำอะไรพึ่งตนเอง
กลับมาสร้างศักยภาพให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับสัตว์ทั่วๆ ไป
แต่เพราะทุกวันนี้มีศักยภาพของมนุษย์ต่ำกว่าสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ซะอีก
เพราะเราขาดการรักษามรดกในการพึ่งตนเอง คนบางคนก่อไฟไม่เป็น
ทำอาหารไม่เป็น นั่นหมายความว่าศักยภาพในชีวิตมันต่ำลง
ฉะนั้นเราต้องกลับมาพึ่งตนเอง

การทำบ้านดินเป็นส่วนหนึ่งของการพึ่งตนเอง อาหาร บ้าน ผ้า และยาเนี่ย
ก็มาคุยเรื่องนี้แหล่ะ เพราะว่าชีวิตมันไม่มีความหมายหรอก
ถ้าคนเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะว่าอิสรภาพมันก็สูญเสียไป
ความภูมิใจในตัวเองก็ไม่มี คุณค่าของชีวิตเราก็มองไม่เห็น
เพราะแค่ไม่ได้ใช้แรงงานทำงานเนี่ย
ชีวิตก็เป็นเรื่องที่เลื่อนลอยไปแล้ว
คนทำงานในเมืองเนี่ยไม่รู้ว่าชีวิตเพื่ออะไร
หาเงินอย่างเดียว เพราะไม่มีเวลาว่าง

การทำงานคือการมีเวลาว่าง
มีเวลาว่างให้กับสมองของเรา ถ้าสมองมีเวลาว่างมันก็จะเห็น
มันก็จะมีความเงียบ
พอความเงียบเกิดขึ้นมันก็จะเห็นความงามได้
ถ้าเห็นความงามได้ ชีวิตก็มีความสุขได้
แต่ชีวิตทุกคนในเมืองไม่มีโอกาส เพราะมันยุ่งกับงานตลอด
แต่เรื่องงานกลุ้มหนักๆ ตลอด
แต่ถ้าทำงานหนักปุ๊บเนี่ย โลกจิตโลกความเครียดต่างๆ มันหายไป
ปัญหาของความเครียดที่มีมากมายในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งจิตแพทย์เลย
แค่กลับมาทำงานหนักเท่านั้นเอง หายหมด

อันนี้เห็นชัดในหลายๆ กรณี เพราะคนที่มานี่เราก็คุยกัน
หลายคนเขาเครียดมา มาเพราะเครียด เรื่องครอบครัว
เรื่องงาน อยากหนีจากสิ่งเหล่านั้น ถึงได้มา
แต่พอมาแล้วมันลืม อาการปวดหัวมันหายไป
เป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง เพราะเราใช้ร่างกายไม่มีความสมดุล
ทำให้เกิดความผิดปกติ

โจนกับลูกและภรรยาชาวอเมริกัน
"เพ็กกี้" หญิงที่รักงานด้านเอ็นจีโอจากโคโลราโด
ผู้เป็นลูกสาวคุณหมอและอาจารย์
แห่งครอบครัวคนชั้นกลางที่มีอันจะกิน
วันนี้เลือกที่จะมาลงหลักปักฐานกับหนุ่มโจน
ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

ฉะนั้นคนชั้นกลางที่มาร่วม Work Shop ถึงได้ถูกอกถูกใจกัน
มักจะมีครั้งที่ 2 แทบทุกคนเลย
เพราะว่าการทำงานเนี่ยมันน่าเบื่อ
แต่ถ้าทำอะไรที่ไม่รู้สึกว่าเป็นงานมันสนุก
อย่างทำบ้านดินไม่มีใครรู้สึกว่ามันเป็นงานเลย เรามาเล่นดินกัน"



บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media Free Web Counter
Valid XHTML 1.0! Valid CSS! Dilber MC Theme by HarzeM