กฎแห่งกรรม
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กฎแห่งกรรม  (อ่าน 20795 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 07:42:32 PM »

ความเป็นมาอนุตตรธรรม
บทที่ 10...กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด

"อย่าคิดว่าคนอ่อนวัยไร้เวรกรรม
ชาติก่อนทำเกี่ยวกรรมใด ใครรู้หรือ
เราจอมเทพฯ ยิ่งฤทธิ์แรงยากรับมือ
ปราบมารดื้อไม่อาจปราบเจ้าหนี้กรรม" 
 
พระโอวาท จอมเทพวินัยธรเทพเจ้ากวนอู
 
 

1. คำนำ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ด้วยพระบารมีธรรมของพระบรรพจารย์ด้วยบรามีธรรมของท่านธรรมอธิการ และนักธรรมอาวุโสทุกท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมบุญสนทนากับท่านทั้งหลาย ในหัวข้อเรื่อง "กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด"

อะไรคือ "กฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ?"
การที่เรารู้เรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด มันสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของเรา?

เราจะพยายามไขข้อข้องใจเล่านี้และหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อจบการบรรยายนี้แล้ว จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด ก่อนอื่นข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องๆ หนึ่ง

ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสาวัตถีได้ตรัสถามพระสงฆ์พุทธสาวกว่า
"ในแผ่นดินที่เราปกครองอยู่ทำไมราษฎรทั้งหลายจึงแตกต่างกัน? บางคนเกิดมายากจนต้องทุกข์ยากลำบาก ในขณะที่บางคนเกิดมาร่ำรวยมีเกียรติยศชื่อเสียง ทำไมบางคนเกิดมาเป็นคนดีมีศีลธรรมแต่บางคนเป็นอาชญากร ? บางคนยินดีที่ได้เกิดมา แต่บางคนกลับสาปแช่งการเกิดของเขา"

อันที่แท้จริงแม้ในทุกวันนี้ ถ้าเรามองดูรอบๆ ตัวเราจะเห็นชีวิตที่แตกต่างกันได้อย่างง่าย บางคนเกิดมาในบ้านของมหาเศรษฐีและสนุกเพลิดเพลินกับชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ในขณะเดียวกันกับที่บางคนตกอยู่ในความยากจนได้รับความลำบากแสนเข็ญ

บางคนเกิดมาสวยงามและมีคนหลงรักมากมาย ในขณะที่บางคนต้องทนอยู่กับหน้าตาขี้เหร่และรูปร่างที่อัปลักษณ์ตั้งแต่เกิด

บางคนเกิดมาร่างกายสมบูรณ์ แต่บางคนอ่อนแอและถูกโรคภัยไข้เจ็บคุกคามเบียดเบียน บ้างก็เกิดมาเป็นคนพิการปัญญาอ่อน

บางคนครอบครัวอยู่อย่างกลมเกลียวมีความสุข แต่บางคนครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชะตาชีวิตที่แต่ละคนจะต้องได้รับ

พุทธสาวกผู้รอบรู้มิได้ตอบพระเจ้ากรุงสาวัตถีในทันที แต่ได้ถามพระองค์ว่า "ข้าแต่มหาบพิตร ทำไมผลไม้ถึงรสชาดที่แตกต่างกันล่ะ บ้างก็หลานบ้างก็เปรี้ยว บางผลสดสวยสมบูรณ์ดี บางผลแคระแกรนและลีบ

พระราชาทรงครุ่นคิดสักครู่แล้วตรัสตอบว่า "อาจเป็นเพราะสภาพและชนิดของเมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกัน"

พระสงฆ์สาวกจึงพูดขึ้นว่า "ถูกต้องแล้ว มหาบพิตร" พืชที่ปลูกให้ผลต่างกันก็เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ต่างกัน มนุษย์มีโชคชะตาแตกต่างกันก็เพราะผลกรรมที่ต่างกันนั่นเอง จากคำตอบของพุทธสาวกนี้เป็นคำอธิบายให้พวกเราได้รู้ว่า

คนเราเกิดมาต่างกันและมีวิถีชีวิตที่ต่างกันก็เพราะ
"แต่ละคนต่างมีกรรมเป็นของตนเองโชคชะตา และวิถีชีวิตของมนุษย์ที่เขาประสอบอยู่ในเวลานี้ก็เป็นผลมาจากการกระทำของเขาเองในอดีต"

2. "กฎแห่งกรรม" คือ อะไร
"กรรม" คือ กฎของเหตุและผล
นั่นคือ
"เหตุ" ที่ได้กระทำนำมาซึ่ง "ผล" ที่ต้องได้รับ
"ผล" ที่ได้รับอยู่ในขณะนี้แสดงถึง "เหตุ" ที่เคยกระทำไว้แต่ก่อน

มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เหมือนกับที่ เราเพาะปลูกเมล็ดมะม่วง ต่อมาเราก็ได้รับต้นมะม่วงและเมื่อเราเห็นต้นมะม่วงโตเราก็จะย่อมรู้ได้ว่ามันมาจากเมล็ดมะม่วง เช่นเดียวกัน ถ้าคนเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ มาตลอดชีวิต ในชีวิตหน้าเราก็จะพบชีวิตที่สุขสบาย ในทางตรงกันข้ามหากคนที่ทำแต่ความชั่วมาตลอดชีวิตต่อไปในภายหน้าเขาก็ต้อง ประสบแต่ความทุกข์ยากลำบาก ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่ไม่พึงปรารถนา

"กรรม" ให้ผลในรูปลักษณ์ต่างๆ และสามารถพบเห็นได้ในทุกๆ คน ดังเช่น
คำพูดที่ว่า "หว่านพืชเช่นไรได้รับผลเช่นนั้น" หมายความว่า เราปลูกพืชชนิดใด เราปลูกพืชชนิดใด เราก็จะได้รับผลของพืชเช่นนั้น ถ้าเราปลูกแตงโมเราก็ต้องได้ผลเป็นลูกแตงโม ถ้าเราปลูกลิ้นจี่ เราย่อมจะหวังได้เลยว่าต้องได้ผลเป็นลิ้นจี่แน่นอน ถ้าหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของชาวสวนคงมีแต่ความยุ่งยากวุ่นวายเพราะจะหวังอะไรไม่ได้เลยว่า เมล็ดที่ตนปลูกลงไปนั้นจะออกลูกเป็นอะไรกันแน่ !

ในด้านคณิตศาสตร์
คุณครูจะสอนเราว่า 1+1 = 2 ......... 1+1 คือ "เหตุ" และ "ผล" ต้องเป็น 2 แน่นอน

ในด้านฟิสิกซ์
คุณครูก็จะสอนว่า "การกระทำทุกอย่างย่อมต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ"
เมื่อน้ำมีอุณหภูมิที่ 0 องศาเซลเซียส มันต้องแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
การลดอุณหภูมิ คือ กระทำเหตุ
น้ำแข็งที่ได้ คือ ผลลัพธ์

ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์
คุณครูพละจะสอนเราเสมอว่า "ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง" แต่ถ้าเราสูบบุหรี่จัด ปอดของเราจะถูกทำลาย ถ้าเราดื่มเหล้ามากๆ เป็นประจำจะเป็นโรคตับแข็ง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือความเป็นเหตุและผลที่ตามมา

ในด้านมนุษย์สัมพันธ์
คนที่มีแต่ความหยิ่งยโสจองหองคิดว่าตนจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนอื่นทำผิดหมด เขาก็จะมีแต่ความสูญเสีย ขาดเพื่อนสนิท ถ้าคนเรารู้จักมีเมตตามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความจริงใจด้วยความเคารพยกย่องให้เกียรติ เขาก็ย่อมได้รับไมตรีจิตและแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่คอยเมตตาให้ความช่วยเหลือ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นลักษณะของ "กรรม" และ "ผลของกรรม" ในรูปแบบที่ต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย

กรรมในแง่มุมต่างๆ
ให้เรามาศึกษา "กรรม" ให้ลึกลงไปอีกใน 2 แง่มุม คือ
1. ระยะเวลาที่กรรมจะปรากฎผล และผลกรรมนั้นจะยาวนานแค่ไหน ?
(กรรมที่เห็นผลทันตาและกรรมที่ส่งผลข้ามภพข้ามชาติ)
"กรรม" ให้ผลในระยะเวลาที่ต่างกันตาม "เหตุ" ตาม "ชนิด" ของมัน เช่นเดียวกับพืชยกตัวอย่าง มะเขือเทศใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ให้ผล ต้นมะละกอก็จะใช้เวลาไม่กี่เดือนจึงให้ผล แต่ถ้าเป็นต้นทุเรียนต้องใช้เวลาถึง 7 ปีจึงจะให้ผล

ในเรื่องกรรมของเรา บางคนได้รับผลจากการกระทำของตนทันทีในชาตินี้ บางคน อาจได้รับผลกรรมของตนในอนาคตหรือชาติหน้า

กรรมที่ส่งผลให้เราต้องได้รับจะมากน้อยยาวนานหรือระยะสั้นๆ ก็เปรียบได้กับ ถ้าเรามีงานที่ค้างอยู่มากมาย เราก็อาจจะไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันเดียว เราย่อมต้องใช้เวลานานหลายวันกว่าที่จะสะสางให้เสร็จเรียบร้อย

ในทำนองเดียวกัน ถ้าในอดีตเราทำควมชั่วที่ร้ายแรงและทำไว้มาก ผลกรรมก็จะปรากฏขึ้นรวดเร็วและต้องชดใช้ไปอีกนาน บางทีอาจต้องชดใช้ไปถึงชาติหน้ากว่าผลกรรมนั้จะหมดสิ้น

ในการสสร้างความดีและบุญกุศลไว้มากๆ ก็เช่นเดียวกัน เหตุนี้เองที่คนดีมากมายในชาตินี้กลับมีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก ก็เนื่องมาจากกรรมชั่วในอดีตส่งผลมาให้เขาต้องชดใช้

และในหลายกรณีที่คนชั่วในเวลานี้ มีชีวิตอยู่สุขสบายก็เพราะเขากำลังเสวยผลบุญที่ตัวเขาและบรรพบุรุษได้สะสมไว้ในอดีต แต่กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ทุกวันก็จะต้องส่งผลเป็นรายการต่อไปแน่นอน

2. กุศลกรรมและอกุศกรรม (หรือกรรมดีกรรชั่ว, กรรมบริสุทธิ์ และกรรมไม่บริสุทธิ์)
"กุศลกรรม" หมายถึง กรรมดีหรือกรรมบริสุทธิ์
"อกุศลกรรม" หมายถึง กรรมชั่วหรือกรรมไม่บริสุทธิ์

ฉะนั้น กรรมดีจะให้ผลที่ดี และกรรมชั่วจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
เหมือนดัง
เมล็ดพันธุ์ที่ดี .............ย่อมให้ผลที่ดี
เมล็ดพันธุ์ที่เลว...........ย่อมให้ผลที่เลว

พระอรหันต์จี้กงได้กล่าวไว้ว่า "คนที่มีโชคดี คือ คนที่ได้สะสมกรรมดีไว้ทุกวัน
ปากพูดแต่คำที่ดีงาม
ตามองแต่สิ่งที่ดีงาม
กายก็กระทำแต่สิ่งที่ดีงามไปด้วย
3 ปีที่สะสมแต่ความดี เบื้องบนก็จะประทานอนาคตที่ดีแก่เขา

หากคนที่สะสมแต่ความชั่ว 3 อย่างไว้ตลอดเวลา
ปากพูดแต่คำที่ไม่ดี
ตามองหาแต่สิ่งที่ไม่ดี
กายก็กระทำชั่วอยู่เสมอๆ
3 ปีต่อมาโชคร้ายทั้งหลายก็จะมาถึงเขา"

เราสามารถรู้ได้ว่ากรรมใดเป็นกรรมดี กรรมใดเป็นกรรมเลว ก็อาศัย "จิต" ที่มองไม่เห็น คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ทำทุกอย่างโดยไม่รู้จักแบ่งแยก คือ คนที่ทำตามกิเลสตัณหาความอยากของเขา ไม่ใช่ทำตามจิตที่มีมโนธรรมสำนึก

กรรมชั่ว หรือ อกุศลกรรม จะเกิดกับผู้ที่กระทำทุกอย่างโดยยึดความต้องการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่

ทุกวันนี้ที่ทุกคนทั้งหลายทำทุกอย่างตามที่เขาพอใจอยากจะทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง นรก-สวรรค์ มีจริง และคิดว่าไม่มีใครจะมาพิพากษาตัดสินการกระทำของเขาได้ คนที่คิดอย่างนี้เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างเรพาะความเชื่อที่ผิดๆ การไม่รู้ความจริงอันถูกต้องจะก่อให้เกิดความพินาศแก่ตัวเขาเอง เป็นเรื่องที่น่าสังเวชจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่รู้จักสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ ผลที่ได้รับก็คือ เขาจะถูกคนทั้งหลายรังเกียจและมีลูกหลายที่อกตัญญูต่อเขาดังเช่นที่เขาเคยปฏิบัติมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ "เหตุต้นและผลกรรม" ทั้งสิ้น

เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งในเรื่องของ "กรรม" ยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องราว เรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง

ยังมีนายพรานคนหนึ่งอาศัยอยู่ชายป่า ตลอดชีวิตนายพรานผุ้นี้ได้ฆ่านกและสัตคว์ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อตายไปผลกรรมที่เขาฆ่าสัตว์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เขาจึงถูกพิพากษาให้เกิดมาชดใช้กรรม 3 ชาติ

ในชาติแรก เขาต้องได้ไปเกิดเป็นคนยากจนเข้นแค้นและถูกฟ้าผ่าตาย เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาทำให้สัตว์ต้องตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

ในชาติที่ 2 เขาต้องไปเกิดเป็นคนพิการตาบอล ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก
เหตุผล...... ก็เพราะเขาไม่เคยนึกถึงผลที่เกิดตามมาว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่สัตว์ ทั้งหลายถูกเขาฆ่าตาย ลูกๆ ของสัตว์เหล่านั้นจะต้องอดตายหรือถูกศัตรูจับไปกิน

ในชาติที่ 3 เขาต้องเกิดมาโดยไม่มีแขน
เหตุผล...... ก็เพราะเขาได้ใช้แขนไปในทางที่ผิล สร้างแต่ความเดือนร้อน แทนที่จะใช้ทำในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

หลังจากที่ยมบาลได้พิพากษาโทษเขาแล้ว นายพร้านผู้นั้นก็ไปเกิดชดใช้กรรมของเขา

ในชาติแรกที่เขาเกิดมา แม่ของเขาต้องตายไปในทันที พออายุได้ 3 ขวบ พ่อก็ป่วยตาย ทิ้งให้ลุงของเขาเป็นผู้เลี้ยงดู จนกระทั่งอายุได้ 6 ขวบเขาก็ถูกส่งไปทำงานเป็นคนเลี้ยงสัตว์อยู่ในบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่ง

นับแต่นั้นมาเขาต้องทำงานดูแลฝูงวัว ได้รับความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่วัยเด็กไม่ว่าอากาศจะร้อนสักเพียงไรหรือหนาวเย็นแค่ไหน เขาก็ต้องออกไปเลี้ยงสัตว์ทุกวัน จนบางครั้งเขาอยากจะฆ่าตัวตายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ เขามักจะนึกถามตัวเองว่า "ทำไมฟ้าจึงไม่ยุตธรรมกับฉันเลย?"

มีใครบ้างที่สงสารเขา วันเดือนปีที่ผ่านไปแม้เขาจะต้องทำงานหนักทั้งๆ ที่อายุยังน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้จักรับผิดชอบและประหยัดอดออมจึงเป็นที่ชื่นชอบของนายจ้าง เขามักจะได้รับคำชมบ่อยๆ

หมู่บ้านที่บรรดาคนเลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่นั้นไม่ไกลจากเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง แต่การที่จะไปถึงตัวเมืองชาวบ้านทั้งหลายก็จะต้องข้ามแม่น้ำที่กั้นอยู่ ในช่วงฤดูฝนน้ำจะท่วมสูงทำให้ชาวบ้านต้องเสียชีวิตถูกน้ำพัดพาไปในระหว่างข้ามฟาก เหตุการณือันน่าเศร้าสลดเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี สร้างความสลดหดหู่ใจให้แก่เด้กเลี้ยงวัวผู้นี้เป็นอันมาก แต่ก็สุดวิสัยที่จะช่วยอะไรได้เพราะเขาอายุยังน้อยเกินไป

เมื่อเขาเริ่มเติมโตขึ้นจึงหัดว่ายน้ำในแม่น้ำ จนกายเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งกาจด้วยความสามารถเขาได้ช่วยชีวิตผู้คนหลายสิบคนให้รอดตายจากการจมน้ำ ชาวบ้านทั้งหลายต่างมอบความรักและซาบซึ้งใจในความดีของเขา

เวลาผ่านไปเมื่อเขาอายุได้ 18 ปี วันหนึ่งชายหนุ่มผู้นี้ได้เข้าไปพบนายของเขา และแนะนำชักชวนให้ท่านสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนั้น เขาให้เหตุผลว่า ไไม่เพียงแต่จะช่วยให้ชีวิตผู้คนปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังจะช่วยรักษาทรัพย์สินที่ต้องสูญเสียไปอย่างมากมาย กระผมคิดว่า เจ้านายเป็นผู้ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะริเริ่มการสร้างสะพานในครั้งนี้ เพราะท่านร่ำรวยมากและมีน้ำใจที่สุดในหมู่บ้านนี้"

นายของเขาหยุดคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดขึ้นว่า "นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย"

"ไม่มีปัญหา" ชายหนุ่มรีบตอบ "กระผมยินดีที่จะเอาเงินทั้งหมดที่ได้สะสมไว้มาร่วมสมทบด้วยขอรับ"

ด้วยความจริใจแระปรารถนาจะทำสิ่งที่เกิดคุณประโยชน์ต่อสาธารณะชน เจ้านายอขงเขาจึงตกลงใจโดยมีเงื่อนไขให้ชายหนุ่มผู้นี้วางแผนควบคุมดูแลการก่อสร้างสะพานทั้งหมด

จากนั้นมาเขาก็เริ่มดำเนินการสร้างสะพานอย่างไม่ต้องรีรอ ขระที่งานสร้างสะพานดำเนินไปได้ 1 ใน 3 ส่วน ระหว่างที่เขาช่วยคนงานทุบหิน เศษหินได้กระเด็นเข้าแทงนัยน์ตาทั้งสองข้าง ทำให้เขาต้องตาบอดสนิท แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมหยุดสร้างสะพาน

เมื่องานแล้วเสร็จไปได้ 2 ใน 3 ส่วน ขณะที่เขากำลังทำงาน ก็เกิดอุบัติเหตุตกจากสะพาน แขนทั้งสองแลกเหลว จนหมอไม่มีทางรักษาจำต้องตัดทิ้ง ชายหนุ่มผู้มีน้ำใจงามจึงกาลายเป้นคนตาบอดไม่มีแขน แม้ว่าเขาจะได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยย่อท้องต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น เขายังคงมุ่งมั่นที่จะควบคุมการสร้างสะพานให้ถึงที่สุด

ต่อมาไม่นานสะพานก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้เชื้อเชิญให้นายจ้างเศรษฐีมาเป้นประะานทำพธีเปิดใช้สะพานนี้

แต่ท่านเศรษฐีกลับยิ้มและตอบว่า "การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำนี้เป็นความคิดริเริ่มของชายหนุ่มลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ได้มาจากเงินที่เขาได้สะสมไว้ ฉะนั้นลูกจ้างหนุ่มผู้นี้จึงสมควรได้รับเกียรติให้เป็นผุ้ทำพิธีเปิดสะพานนี้"

ชาวบ้านทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงเห็นพ้องต้องกันเชื้อเชิญชายหนุ่มผู้พิการให้เป็นประธานในพิธี

ขณะนั้นมีท่านเสนาบดีจากราชสำนักมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานเปิดสะพานด้วย ทุกคนพากันเดินไปยังสะพาน ฝูงชนต่างโห่ร้องฉลองชัยด้วยความยินดี

แต่ครั้งไปถึงสะพาน ท้องฟ้าที่สว่างไสวอยู่เมื่อสักสครู่ กลับมืดครื้มเป็นสีดำอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นได้เกิดฟ้าผ่าลงมาถูกชายหนุ่มผู้มาเป็นประธานในพิธีอย่างฉับพลัน เขาถูกเผาไหม้จนเกรียมทั้งๆ ที่ร่างยังคงยืนตระหง่านอยู่

ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างสงบลงชาวบ้านก็เกิดความฉุนเฉียวและเกรี้ยวกราดขึ้นว่า

"ทำไมถึงได้เกิดฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างนี้?"
"ชายผู้นี้ไม่เคยทำผิดคิดร้ายอะไร แต่ทำไมต้องกลับมาถูกฟ้าผ่าตาย?"
"คนทำดีมาตลอดกลับไม่ได้ดี ต้องตายอ่างน่าอนาถ เรื่องเช่นนี้ "ฟ้า" ยังไม่รู้จักแยกแยะดีเลว"

ท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์ด่าทอกันไปต่างๆ นานา ท่านเสนาบดีผู้อาวุโส ได้เดินไปยังร่างที่ไหม้เกรียมของชายผุ้น่าสงสารแล้วท่านจึงก้มลงเขียนข้อความลงบนข้อมือของร่างที่ไร้วิญญาณนั้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

และแล้วร่างกายของชายหนุ่มผู้สร้างแต่ความดีมาตลอดก็ล้มลง พร้อมกับทิ้งปริศนาที่น่าฉงนสงสัยในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วและการเกิดใหม่ ภายในสมองของผู้คนเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าจะเป้นคนดีไปทำไม? ในเมื่อสวรรค์ยังไม่รู้จักแบ่งแยกดีชั่ว"

อีกไม่กี่วันต่อเมื่อท่านเสนาบดีผู้อาวุโสกลับมาถึงราชสำนึก ก้ได้รับแจ้งข่างว่าพระราชโอรสของพระองค์จักรพรรดิ์ประสูติแล้ว แต่ทรงร้องไห้ไม่ยอมหยุด ท่านเสนาบดีจึงได้ขอพระราชานุญาตเข้าเฝ้าพระโอรส

ครั้นเจ้าชายองค์น้อยได้พบท่านเสนาบดีก็ทรงหยุดร้องทันที เมื่อท่านเสนาบดีผู้ชราเข้าชมพระบารมีราชโอรสอย่างใกล้ชิด ก็ต้องตกใจมากที่ได้เห็นบนข้อพระหัตถ์ปรากฎมีอักษรเขียนไว้ว่า
"คนดีที่ถูกฟ้าพิฆาต"

ท่านจึงทราบทันทีว่ พระราชโอรสขององค์จักรพรรดิ์คือ ชายหนุ่มผู้สร้างสะพานซึ่งบัดนี้เขาได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว

ข่าวที่น่าอัศจรรย์ได้แพร่ขยายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านในหมู่คนเลี้ยงสัตว์ และราษฎรทั้งหลายจึงเกิดความกระจ่างและหมดสิ้นความสงสัยในเรื่องของ "กฎแห่งกรรมและการกลับชาติมาเกิด"

จากเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมด คงช่วยชี้ให้เราได้เห็นว่า วิบากกรรมทั้งหลายที่เราได้รับล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราเองทั้งสิ้น ฉะนั้นเราต้องมีสติระลึกอยู่เสมอว่า "ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?"

พระพุทธองค์ตรัสว่า "หว่านพืชเช่นไร ก็ได้รับผลเช่นนั้น"
เพราะฉะนั้นต่อไปภายภายหน้าหากเราเกิดโมโหเพราะมีคนดูถูกเรา ก็จงย้อนระลึกนึกถามตัวเองก่อนว่า "เราเคยดูถูกคนอื่นบ้างไหม?" และควรจะบอกกับตัวเองว่า "สิ่งที่เราได้รับอยู่นี้เป็นผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเราในอดีต เราควรยอมรับเคราะห์กรรมนี้โดยไม่เคืองแค้นใครๆ เมื่อมันผ่านพ้นไปก็คือ เราได้ชดใช้หนี้กรรมของเราให้หมดไปครั้งหนึ่ง"

แท้จริงแล้วการที่เราทำอย่างนี้ ไม่เพียงแต่ชดใช้หนี้กรรมเท่านั้น แต่เรายังได้พิจารณาอุปนิสัย มีความอดกลั้นแลฝึกหัดระงับอารมณ์ของเราด้วย

อะไรคือการกลับชาติมาเกิด ?
"อะไรเกิดขึ้นกับเรา หลังจากที่เราตายแล้ว?" ตามหลักของพุทธศาสนาการเกิดใหม่ จะมีขึ้นหลังจากเราจบสิ้นชีวิตในโลกนี้แล้ว คนเราแต่ละคนล้วนมีชีวิตมาในอดีตมากมายหลายชีวิตแล้ว และยังคงต้องมีชีวิตต่อไปอีกหลายชีวิตในอนาคตข้างหน้า เป้นวัฏฏะจักรที่หมุนเวียนไปไม่สิ้นสุด

การกลับชาติมาเกิด หมายถึง การเกิดใหม่ในชีวิตหน้าหลังจากที่เราจบสิ้นชีวิตในชาตินี้แล้ว
กรรมในอดีต (1) คือ เหตุปัจจัยของการเกิดในปัจจุบัน
กรรมในอดีต (1) + กรรมปัจจุบัน (2) คือเหตุปัจจัยของการเกิดในอนาคต

อดีต ------------> ปัจจุบัน -------------> อนาคต --------------> - - - - - - - - - - -
.........กรรม 1..................กรรม 1 + กรรม 2

ปัจจุบันเป็นผลของอดีตและเป็นตัวกำหนดอนาคต
ดังคำกล่าวว่า
เมื่อวานเป็น "เหตุ" วันนี้เป็น "ผล"
วันนี้เป็น "เหตุ" พรุ่งนี้เป็น "ผล"

คนที่ไม่เชื่อเรื่อง "การกลับชาติมาเกิด" ก็เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมัน คนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าชีวิตของเราเหมือนกับหลอดไฟฟ้า เมื่อตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ หากเราไตร่ตรองพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่ หลอดไฟจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อหลอดไฟเสื่อมสภาพหมดอายุการใช้งานหลอดนั้นก็เสียไป แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับกระแสไฟฟ้ล่ะ? มันจะสูญสิ้นไปด้วยหรือเปล่า? ไม่อย่างแน่นอน !

เราทุกคนทราบดีว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นและทำลายไปได้ เป็นแต่ว่ามันสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานเครื่องจักรกล พลังงานเคมี ฯลฯ นั่นก็คือกระแสไฟฟ้าอาจเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่นทำให้เตาไฟฟ้าเกิดความร้อน ทำให้ตู้เย็นเกิดความเย็น ทำให้พัดลมหมุน เป็นต้น

ถ้าจะพูดว่ากรรมและการเวียนวายตายเกิดไม่มี เพราะเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จึงเป็นการสรุปอย่างคนไม่มีเหตุผล

กระแสไฟฟ้าซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จากปฏิกิริยาของมัน เป็นพลังงานที่มีอยู่จริงแม้แต่คนตาดีก็ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่าง และไม่รู้เลยว่าแสงสว่างเป็นอย่างไร

ไม่กี่ปีมานี้หลักฐานต่างๆ และเอกสารมากมายได้ถูกรวบรวมพิมพ์ออกเผยแพร่เพื่อพิสูจน์ว่า การเกิดใหม่นั้นมีจริง มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถจำเรื่องราวในอดีตของชาติได้ เขาสามารถบอกเล่ารายละเอียดถึงสถานที่ ผู้คนในอดีต ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

มีกรณีหนึ่งของ นาง รูส ซิมมอน (Ruth Simmon) ซึ่งเกิดและอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาแต่เธอจำอดีตชาติได้ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนเธอคือ นายบิลเดย์ มัมฟี่ร์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1789 เธอสามารถบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในสมัยนั้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเรื่องราวที่เธอเล่าเป้นจริงถูกต้องทุกประการ ทั้งๆ ที่ นางรูส ซิมมอน ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกาเลย

อีกกรณีหนึ่ง สตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้จำอดีตของตนเองได้ 2 ชาติ ในชาติแรกเธอจำได้ว่าเธอเกิดเป็นหญิงชาวไอริซ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อกรีนฮอลท์ (Greenhalgh) ในศตวรรษที่ 17 เมื่อตรวจสอบจากประวัติศาสตร์พบว่า หมู่บ้านนั้เคยมีอยู่จริงเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน

ในชาติที่สอง เธอจำได้ว่าได้เกิดเป็นพยาบาลชาวอังกฤษที่มีหน้าที่คอยดูแลเด็กๆ ในเมืองดาวน์แฮม (Downham) ในปี ค.ศ. 1902 เมื่อสืบค้นจากข้อมูลของทางการซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ที่เมืองดาวน์แฮม ได้พิสูจน์ว่านางพยาบาลที่อ้างถึงมีตัวตนอยู่จริง

"สถานที่เกิดของสรรพสัตว์ หรือ ภูมิวิถีทั้ง 6"
1. เทวภูมิ เป็นที่ซึ่งบรรดาเทพพรหมสถิตอยู่ คนที่กระทำแต่ความดีในขณะมีชีวิตอยู่แต่ไม่รับรู้วิถีธรรมจะเกิดอยู่ในเทวโลกนี้

2. กึ่งเทวภูมิ (อสูร) เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณที่ทำความดีในโลกมนุษย์แต่ไม่สามารถ ขจัดความอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความอคติคิดร้าย ความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิตได้

3. มนุษย์ภูมิ คือ โลกมนุษย์ที่คนเราเกิดมา ไม่ว่าจะเป้นคนร่ำรวย คนยากจน คนดีหรือคนเลว ก็จะมาเกิดอยู่ในแดนมนุษย์นี้ คนที่บำเพ็ญตัวเองในโลกมนุษย์และมีบุญสัมพันธ์ได้พบ "วิถีธรรม" ก็จะสามารถพ้นจากภูมิวิถีทั้ง 6 นี้ เข้าสู่แดนนิพพานได้ ในอีกด้านหนึ่งหากคนทำแต่สิ่งชั่วร้ายก่ออาชญากรรมสร้างความเดือดร้อนเขาก็จะต้องไปเกิดอยู่ใน 3 ภพภูมิแห่งความทุกข์ยากซึ่งอยู่ต่ำลงไปได้แก่ เดรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และนรกภูมิ

4. เดรัจฉานภูมิ คือสภาพความเป้นอยู่ของสัตว์ประเภทต่างๆ บนโลกนี้ แบ่งลักษณะของการเกิดได้แก่ :
......1. สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น ม้า วัว แพะ ฯลฯ
......2. สัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น นก งู สัตว์เลื้อยคลาน ฯลฯ
......3. สัตว์ที่เกิดในที่ชื้นแฉะ เช่น สัตว์ทะเล ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ
......4. สัตว์ที่เกิดแล้วแปรสภาพ เช่น แมลงต่างๆ แมลงวัน ยุง ผีเสื้อ ฯลฯ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะต้องเปลี่ยนสภาพรูปร่างหลังจากการเกิดครั้งแรก และอยู่ในสภาพที่เปลี่ยนไปจนถึงวาระสุดท้าย

5. เปตรภูมิ เป็นที่อยู่ของจิตวิญญานซึ่งต้องทุกข์ทรมานกับความหิวกระหาย อันเนื่องจากไม่เคยทำบุญกุศล ไม่เคยบริจาคทานใดๆ ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำ

6. นรกภูมิ เป็นที่ซึ่งดวงวิญญาณของคนที่กระทำผิดศีละรรม สร้างแต่กรรมชั่วขณะ เมื่อยังมีชีวิตต้องไปรับโทษทัณฑ์ อยู่อย่างทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส

ในภพภูมิของเทพพรหม ภูมิกึ่งเทวภูมิ (หรือแดนอสูร) และโลกมนุษย์ จะมีความสุขกว่าสัตว์โลก เปรตและในนรก แต่ไม่ว่าจะเกิดอยู่ในภพภูมิไหน ภพภูมิที่เราจะต้องไปเกิดและสภาพของการเกิดขึ้นอยู่กับการกระทำ (กรรม) ในอดีตและปัจจุบันของเรานั้นเอง อายุขัยของแต่ละชีวิตใน 6 ภุมิก็แตกต่างกันไม่มีใครจะอยู่ได้ตลอดไป

ทั้ง 6 ภูมินี้ มีแต่โลกมนุษยืเท่านั้นที่ดีที่สุดเพราะเป็นสถานที่ทุกคนสามารถบำเพ็ญฝึกฝนตนเอง และมีกายสังขารที่จะสามารถสร้างสมคุณความดีและบุญกุศลได้

การเวียนว่ายจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังมี "ความอยาก" ในทางโลก ตราบนั้น เราก็ยังต้องเกิดอยู่ร่ำไป หกาเราโชคดีมีรากบุญมาพบวิถีธรรม และได้เรียนรู้ "สัจจธรรม" ตั้งใจบำเพ็ญตนเอง ก็จะสามารถพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หมดสิ้นความทุกข์ทั้งปวง ดังเช่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพรอรหันต์สาวกทั้งหลายได้บำเพ็ญจนสำเร็จธรรมบรรลุปณิธานสูงสุดไปก่อนหน้าแล้ว ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีเลิศแก่พวกเราทุกคน

4. ข้อปฏิบัติที่สำคัญในชีวิตของเรา ที่มีผลต่อกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด 3 ข้อ ได้แก่ :
ก. ไม่ทำความชั่วใดๆ ตั้งใจทำแต่ความดี เมื่อเราได้รู้ถึงผลกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดแล้วเราจะต้องสำรวมระมัดระวังในการกระทำของเรา คือ ต้องพยายามหลีกเว้นการทำชั่วพยายามทำแต่ความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ พึงจดจำไว้เสมอว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" บางเวลาที่เราพลั้งเผลอทำผิด เราก็ควรสำนึกผิดขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วย้อนพิจารณาความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว พิจารณาความผิด ที่ได้กระทำไปแล้ว เพื่อหาหนทางแก้ไขปรับปรุงตัวเองเสียใหม่

กฎ 4 ข้อสำหรับหลีกเลี่ยงความชั่ว
1. ไม่มองสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
2. ไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
3. ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย
4. ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย

มันเป็นกฎที่ง่ายๆ แต่ยากที่จะทำได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือ เราจะต้องเชื่อฟังมโนธรรมสำนึกของเรา เพื่อที่จะได้ไม่ถูกกิเลสครอบงำ หากเราพยายามฝึกฝนตามกฎ 4 ข้อนี้ กิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ มลายสิ้นไป จิตใจของเราย่อมมีแต่ความสะอาด สงบ และแจ่มใส

ข. ตั้งใจบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง สร้างสมความดีเพื่อชดใช้หนี้สิ้นเวรกรรม
ถ้าเราเป็นหนี้ใครสักคนหนึ่ง เราก็ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินให้ได้มากพอที่จะใช้หนี้ เช่นเดียวกับคนเราแต่คนก็มีหนี้สิ้นเวรกรรมมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เพราะฉะนั้นทุกคนจำเป็นต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง เพื่อชดใช้หนี้สิ้นบาปเวรที่เคยก่อไว้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะเมื่อเราได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรมอันจะนำพาเราให้กลับสู่ "นิพพาน" พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิทั้ง 6 เจ้าหนี้นายเวรที่เราเคยค้างก็จะต้องติดตามทวงหนี้และฉุดดึงเราไว้ไม่ให้สามารถก้าวสู่ "นิพพาน" ได้ เหมือนกับถ้าเราเป็นหนี้ธนาคารเพียง 1 บาทและตัดสินใจว่าจะเดินทางไปต่างประเทศไม่กลับมาอีกแล้ว แน่นอนธนาคารจะต้องติดตามทวงหนี้ที่เราติดค้างให้ได้

เหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่เราสามารถรับการ "ถ่ายทอดวิถีธรรม" ก็เพราะด้วยพระบารมีของพรอรหันต์จี้กงผู้แบกภาระถ่ายทอดวิถีธรรมฉุดช่วยชาวโลก พระอาจารย์ทรงค้ำประกันและยืนยันกับเจ้าหนี้นายเวรของเราว่า หลังจากที่เราได้รับวิถีธรรมแล้วทุกคนจะตั้งใจบำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลชดใช้หนี้บาปเวรที่เคยกระทำต่อพวกเขาทั้งหมด ดังนั้เราควรระลึกถึงพระคุณของพระอาจารย์และไม่ทำให้ท่านผิดหวังในตัวเรา

ค. ฝึก "กินเจ" ให้มาก
ผู้คนทั่วไปมักพูดว่า "มีใจเมตตาก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจด้วย" แท้จริงแล้ว "การกินเจ" มิใช่แค่การแสดงของจิตที่เปี่ยมเมตตาเท่านั้น แต่เป็เรื่องของผู้ที่รู้แจ้งในกฎแห่งกรรมการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องของสุขภาพร่างกายและการยเตรียมตัวบำเพ็ญตนไปสุ่ความหลุดพ้น

บาปที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือ "การฆ่า" และอานิสงส์ที่จะทำให้มนุษย์อายุยืนยาวสุขภาพแข็งแรงก็คือ "การไม่ฆ่าสัตว์"

ไม่ว่ากินเนือ้ หรือ กินเจก็เพื่อเพียงให้อิ่มท้อง

แต่กินเนื้อร่างกายสะสมโรคภัยไข้เจ็บ แก่เร็ว อายุสั้น ตายไว การกินเจทำให้ร่างกายสะอาดมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ก่อโรคภัยร้ายแรงให้กับตัวเอง อายุยืนยาว

ถ้าหากเราเข้าใจ "กฎแห่งกรรม" และ "การเวียนว่ายตายเกิด" อย่างลึกซึ้งเราสมควรที่จะหันมา "กินเจ" กันหรือไม่?

สรุป
การที่เรามีโอกาสเรียนรู้กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดให้กระจ่างแจ้ง จะทำให้เรามองเห็นชีวิตได้อย่างลึกซึ้งขึ้น เมื่อเรารู้ว่าการกระทำทุกอย่างของเราจะส่งผลให้เราต่อไปในภายหน้าไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน ความรู้นี้จะให้ความหวัง ความมั่นใจและความหนักแน่นในความเชื่อที่จะทำความดี รู้จักให้อภัยในความผิดของผู้อื่น

หากเราไม่ต้องการตกอยู่ในภพภูมิทั้ง 6 เมื่อได้รับวิถีะรรมแล้วก็ควรบำเพ็ญธรรมอย่างจริงใจเพื่อให้พบกับชีวิตที่นิรันดรในที่สุด

 



****************************
 


บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 07:53:29 PM »

บุคคลที่ภพหน้าจะเป็นเปรตหรือไม่ ก็น่าจะลองตรวจดูดังนี้

1. เป็นคนอิจฉาริษยาคนร่ำรวยและสูงกว่าตน ดูถูก ดูแคลนคนยากจนและต่ำต้อยกว่าตน......
2. ตระหนี่ ไม่ทำทานแล้วยังกีดคนที่ทำทาน
3. นำทรัพย์ สิ่งของภิกษุและส่วนรวมเป็นของตนเอง
4. ติฉินนินทากล่าวร้ายพระ และครูบาอาจารย์ของตน
5. ยุยงให้สงฆ์และหมู่คณะแตกแยกกัน
6. ให้ยาหญิงมีครรภ์ เพื่อทำลายเด็กในครรภ์
7. แช่งด่าคนที่ทำบุญทำความดีต่อสังคมและพระสงฆ์
8. มีอุบายทุจริตในการค้า เช่น ปนข้าวไม่ดีลงในข้าวดี
9. ประทุษร้ายต่อพ่อแม่
10. ไม่ยอมให้ทานด้วยข้าว และยังสาบานยืนยันว่า ไม่มีข้าว กล่างมดเท็จ
11. ลักขโมยของคนอื่นมากิน แล้วสาบานว่าไม่ได้ขโมย
12. กลางคืนถือศีล กลางวันเป็นพราน
13. เป็นเจ้าเมืองหรือผู้ใหญ่ที่ชอบกินสินจ้างรางวัล
14. ทำบุญด้วยของเหลือเดน
15. ถวายภัตตาหารด้วยเนื้อหมา และเนื้อสัวต์ที่มีเล็บ
16. ข่มเหงรังแกคนยากจน
17. ทำลายป่า
 wav!!
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 17, 2009, 11:45:34 AM »

พระพุทธองค์ตรัสถึงกฎแห่งกรรมว่า

อดีตชาติได้ประกอบแต่กรรมดี จึงเกิดมาเป็นคนที่มียศสูงศักดิ์ และร่ำรวยในโภคทรัพย์
ผู้ใดบำเพ็ญธรรมมาตลอด จะได้บุญวาสนาไปทุกภพ ทุกชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี
ฟังตถาคตกล่าวผมกรรมของไตรภพ ผลกรรมของไตรภพนั้นเป็นเรื่องใหญ่
จงหย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรม ดังต่อไปนี้...................

ปัจจุบันเป็นขุนนางเพราะเหตุใด
ชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป

สิ่งที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนได้ทำไว้
ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์

ทองคำสร้างองค์พระดั่งสร้างตนเอง
เครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประดับกาย

ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นขุนนางนั้นง่าย
หากไม่ได้สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ ไฉนเลยจะได้รับ

มีรถมีเรือขี่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน

มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนได้บริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน

มีอาหารกินอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและนำดื่มให้แก่ผู้ยากจน

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 17, 2009, 06:34:11 PM »

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย

มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนได้บริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้

มีบุญบารมีวาสนาเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนได้สร้างวัดสร้างศาลา

มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ของหอม

มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนได้สวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า

สามีภรรยา มีอายุยืนเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป

มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจ ผู้กำพร้า

ไม่มีพ่อแม่เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา

มีลูกหลานแยะเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบปล่อยนกปล่อยปลา

เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น

ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบข่มเหงรังแก ลูกหลานชาวบ้าน

ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ ปลดปล่อยชีวิต

ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต


ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขืนลูกเมียเขา

ชาตินี้เป็นหม้ายเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี

ชาตินี้เป็นทาสเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น

ชาตินี้มีตาดีเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนซื้อน้ำมัน เติมตะเกียงบูชาพระ

ชาตินี้มีตาบอดเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนชอบอ่านหนังสือลามก

ชาตินี้มีปากแหว่งเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น

ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนปากร้ายชอบด่าว่าพ่อแม่

ชาตินี้หลังค่อมเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนหัวเราะคนที่ไหว้พระ

ชาตินี้มืองอ แขนคด เพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนเคยตีพ่อแม่

ชาตินี้ขาเป๋ ตีนแป เพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนเคยทำลายถนน สะพานของส่วนรวม

ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนเป็นหนี้เขา แล้วไม่ใช้คืน

ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนมีใจคิดหลอกลวงเขา

ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนดีใจที่เห็นคนอื่นเคราห์ร้าย


ชาตินี้สุขภาพดีเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนได้บริจาคยารักษาโรคให้ผู้อื่น

ชาตินี้ต้องติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนเห็นคนตกอยู่ในอันตราย แล้วไม่ยอมช่วยเหลือ

ชาตินี้ต้องอดอาหารตายเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนหัวเราะคนขอทาน
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12083

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 17, 2009, 06:41:35 PM »

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด
*** ขี้เกียดทำงาน
มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด
***ขยันทำมาหากิน
มีบุญบารมีวาสนาเพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ
มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ ตั้งแต่ชาติก่อน

มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ ตั้งแต่ชาติก่อน+ชาตินี้ขยันเรียน ขยันอ่าน เคารพครูบาอาจารย์

 ดีใจจัง
บันทึกการเข้า

sirirrin
สนับสนุนLSV-server
member
***

คะแนน180
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 301



« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 17, 2009, 09:38:40 PM »

ความเข้าใจเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม”

กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา หรือความตั้งใจ จงใจ ที่เราทำไว้เอง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วเราก็รับผลแห่งกรรมนั้น เรียกว่า “กฎแห่งกรรม”

เรื่องของกรรมเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนมาก ลำพังปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจที่จะรู้ให้ตลอดสายได้ อย่าว่าแต่กรรมในอดีต ที่ข้ามภพข้ามชาติหลายชาติเลย แม้กรรมในปัจจุบันเราก็ยังรู้ได้ยาก เช่น บางคนทำแต่ความดีมาตลอด แต่ก็ได้รับความทุกข์ หรือความเดือดร้อนต่างๆ เป็นต้น บางคนทำแต่ความชั่ว แต่ก็ได้รับยกย่อง มีเกียรติ เป็นต้น

ในที่นี้ไม่มีความประสงค์จะเขียนเรื่องกรรม เพราะมันยุ่งยากและเสียเวลามาก แต่จากการที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มาเป็นเวลานาน จนเกิดความมั่นใจว่า กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมยิ่ง อยากขอให้ท่านผู้อ่านเชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า “ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วแน่”

การไม่เชื่อกรรม หรือกฎแห่งกรรม มีผลเสียมาก ที่บางคนท้อใจไม่อยากทำดี ก็เพราะไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่อยากทำความดี เมื่อไม่ทำความดี ชีวิตก็หมดความสุข การเชื่อกฎแห่งกรรมเพียงประการเดียว ทำให้คนเราตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี ชีวิตก็ย่อมจะประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป

บางคนอาจจะสงสัยว่า ก็เราไม่เคยทำความชั่ว และได้ทำแต่ความดีมาโดยตลอด แต่ทำไมจึงได้รับความเดือดร้อนต่างๆ อยู่เป็นประจำ ? อย่าได้สงสัยให้เสียกำลังใจในการทำความดีเลย นั่นเป็นผลของความชั่ว ที่เราได้ทำไว้ในอดียกำลังให้ผลอยู่ จงยินดีรับและทำความดีเรื่อยไป ในวันหนึ่งมันก็ย่อมหมด และกรรมดีก็ย่อมจะให้ผลเราบ้าง คราวนี้เราก็ย่อมจะได้รับผลของความดี คือความสุขอื้อซ่าไปเลยเชียวละ

ก็คิดดูหรือเอาอะไรตรองดูเถอะ !! ขนาดในชาตินี้เราไม่ทำชั่ว เรายังเดือดร้อนถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเราขืนไปทำชั่วต่อเข้าอีก นอกจากในชาตินี้เราจะเดือดร้อนแล้ว ในชาติต่อไปเราก็ยิ่งจะเดือดร้อนใหญ่ อย่าสงสัยเลย กรรมกับการให้ผลของกรรม ย่อมลงตัวกันเสมอ เช่น เราทำบุญ เราก็ย่อมสบายใจ เราทำบาป เช่น ฆ่าเขา เราก็ย่อมจะทุกข์ใจ กลัวผลกรรมจะตามสนองก็เห็นกันอยู่เจ๋งๆ แล้ว ยังจะสงสัยอะไรกันอีกเล่า ? เราไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ ก็เห็นเหตุและผลกันอยู่ทนโท่แล้วนี่นา จะมัวชักช้าอยู่ไย ?

ที่คนส่วนมาก มักจะเข้าใจการให้ผลของกรรมผิด ก็โดยการเอาการให้ผลกรรมฝ่ายรูปหรือวัตถุ ไปรวมกับการให้ผลกรรมฝ่ายนามหรือจิตใจไปเสีย คือเข้าใจเพี้ยนไปว่าคนทำบุญให้ทาน จะต้องร่ำรวยทันตาเห็น เพราะทางพระสอนว่า คนให้ทาน เกิดชาติใดจะร่ำรวยมีเงินทองมากมายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นต้น

แต่แล้วเหตุไฉนคนยิ่งทำบุญมาก ก็ยิ่งยากจนลง ? และคนเข้าวัดส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นคนจนเล่า ? หรือว่าพระท่านจะหลอกให้คนทำบุญ ท่านจะได้ร่ำรวย กินดีอยู่สบาย ? ขอชี้แจงเรื่องผลของบุญ หรือผลของกรรมประเภทรูปและนามดังนี้

ผลบุญหรือกรรมประเภทรูป (วัตถุ) นี้ ค่อนข้างจะพิสูจน์ยาก เพราะรู้สึกว่าผลของกรรมหรือบุญฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเดินทางช้า ไม่ค่อยจะทันใจคนที่คิดมากเลย

แต่ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่า เรื่องของการให้ผลของกรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุญหรือบาปก็ตาม ย่อมจะลงตัวกันเสมอ จะมีตัวแปรให้เสียคิวไปบ้าง ก็ย่อมจะไม่พ้นวงจรของกรรมอีกเช่นกัน

ที่เราเห็นว่า คนรวยเข้าวัดทำบุญน้อย ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ หาเวลาว่างยาก กับประมาทมัวเมาในความมีทรัพย์ ตรงข้ามกับคนจน ซึ่งมีเวลาว่างมาก (ลูกจึงมาก) และมักจะเห็นโทษของความจน จึงตั้งหน้าแต่ทำบุญ หวังว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง

ส่วนผลบุญหรือกรรมประเภทนาม (จิตใจ) นี้ เราสามารถเห็นได้ทันทีทันใดทั้งที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยว่า คนทำบุญหรือทำความดี จิตใจย่อมจะสดชื่นและแจ่มใสในทันที หรือแม้เพียงแต่คิดเท่านั้น บุญก็เกิดแล้ว

ยกเว้นแต่คนที่ “มือถือสาก ปากถือศีล” หรือ “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ” หรือ “ทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล” เท่านั้นแหละ ที่การกระทำมักจะสวนทางกับความคิดอยู่ตลอดเวลา

การเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง จะช่วยตัดหรือปัดความผิดไปให้คนอื่นจนหมดสิ้น ทำให้เรายอมรับความจริงอันเกิดขึ้นจากผลกรรมว่า เป็นการกระทำของเราเอง เราทำไว้ด้วยตัวเราเอง ความทุกข์อันเกิดจากความคั่งแค้น ว่าคนอื่นมาทำให้เรานั้น ก็เป็นอันว่าหมดไป

เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว เราทำของเราเอาไว้เองทั้งนั้น แล้วเราจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ? ยิ่งเอะอะมะเทิ่งมากไป ก็จะยิ่งขายหน้าท่านผู้รู้เขาเปล่าๆ เสียภูมิของบัณฑิตหมด

“ก็เขามาทำให้ฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขานี่นา”

บางคนอาจจะยังปากแข็งไม่ยอมเชื่อ ใช่ !! นั่นแหละ ? เราได้ไปทำกะเขาเอาไว้ก่อน ชาติก่อนๆ โน้น !! ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเราต้องไปทำเขาไว้ก่อนแน่ อย่าได้ไปโต้ตอบเขาเลย มันจะได้หายหรือเจ๊ากันไป ขืนไปตอบโต้เขาก็จะทำให้ผลกรรมใหม่นี้ มันก็จะติดตามไปชาติหน้าอีกไม่รู้จักหมดกรรมหมดเวรกันสักที

ก็เหมือนเรื่องสมเด็จ (โต) ท่านตัดสินคำฟ้องที่ว่า มีพระสองรูปไปบิณฑบาตทางเรือ องค์หนึ่งพายหัว องค์หนึ่งพายท้าย แต่แล้วเหตุใดไม่ทราบ องค์พายท้ายเกิดเอาพายไปไปตีหัวองค์พายหัวเรือเข้า ท่านก็ไปฟ้องสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านก็ตัดสินว่า

“ก็คุณไปตีเขาก่อนนี่ เขาจึงตีเอา”

พระรูปพายหัวเรือก็แย้งว่า “กระผมไม่ได้ตีเขา เขาตีผมข้างเดียว”

สมเด็จฯ ท่านก็ยังยืนยันอย่างนั้น จนต้องไปฟ้องพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเหนือกว่า สมเด็จ (โต) ท่านก็จึงได้เฉลยว่า “ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปตีเขาไว้ในชาติก่อนแล้ว เหตุใดเขาจึงได้มาถูกตีในชาตินี้เล่า ?”

เรื่องนี้ก็ยุติกันไป เพราะสมเด็จฯ ท่านเล่นยกไปให้กรรมเก่าในชาติก่อน มันก็เอวังกันเท่านั้นเอง เอาเป็นว่า การที่เราได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ความยากจน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจทั้งหมดเหล่านั้น ล้วนเป็นผลมาจากกรรมชั่วของเราในอดีตโน้นกำลังให้ผลอยู่ (อย่าถามว่าชาติไหนนะ ? ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านน่ะ)

ส่วนว่าเราได้รับความสุข ความสบาย ความร่ำรวย.... นั่นก็เป็นผลของกรรมฝ่ายดี ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่ ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก แต่ก็เห็นได้ง่ายๆ ว่า แม้ว่าคนนั้นจะมีบุญมากปานใด ? ก็จะส่งให้มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ถ้าโง่และขี้เกียจในชาตินี้ มันก็ไม่พ้นความยากจนไปได้

เป็นอันว่า การเชื่อกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ผลดี คือช่วยเป็นกำลังใจ ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป และความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุข ผู้ทำความดีก็ย่อมจะมีความสุขในปัจจุบัน และแม้สิ้นชีพไปแล้ว ก็ย่อมจะไปเกิดในสุคติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย.


................... ................... .................

คัดลอกจาก
หนังสือสู่ความสุข ธรรมรักษา เรียบเรียง 
 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 07:35:49 AM »

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด
*** ขี้เกียดทำงาน
มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด
***ขยันทำมาหากิน
มีบุญบารมีวาสนาเพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ
มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ ตั้งแต่ชาติก่อน

มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด
***ทำดี คิดดี มีศีล มีสมาธิ ตั้งแต่ชาติก่อน+ชาตินี้ขยันเรียน ขยันอ่าน เคารพครูบาอาจารย

 ดีใจจัง


 ขอบคุณ  ขอบคุณ  ขอบคุณ

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 09:39:31 AM »

ชาตินี้ต้องถูกวางยาเบื่อตายเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง

ชาตินี้ต้องโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนใจบาปคิดแต่จะทำลายผู้อื่น

ชาตินี้แคระแกรนเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อน ชอบเหยียดหยามดูแคลนคนรับใช้

ชาตินี้อาเจียนเป็นเลือดเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนนั้นคอยปลุกปั่นยุแหย่ คนอื่นให้แตกแยกกัน

ชาตินี้หูหนวกเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนฟังธรรมแล้วไม่เชื่อถือ

ชาตินี้เป็นฝีเป็นหนองเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนทารุณสัตว์

ชาตินี้มีกลิ่นตัวเหม็นเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น

ชาตินี้ต้องแขวนคอตายเพราะเหตุใด
เพราะชาติก่อนทำลายคนอื่น เพื่อประโยชน์ของตน

ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าต่ยเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาตอก่อนพูดจาเสียดสี ผู้ที่ออกบวช

ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด
เพราะว่าชาติก่อนชอบก่อ ศัตรูคู่อาฆาต

สรรพกรรมที่กอไว้กรรมตามสนอง
ต้องตกนรกทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า....

อย่าพูดว่ากฎแห่งกรรมนั้นไม่มีใครเห็น.....
กรรมสนองเร็วก็ตกที่ตัวเอง....กรรมสนองช้าก็ตกที่ลูกหลาน

ถ้าท่านไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย...ท่านไม่รีบทำทาน......
ท่านก็จงดูบุคคลที่มีบุญวาสนาซิ...

เพราะเขาได้ทำบุญไว้ตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้บุญจึงตอบสนอง
แม้ปัจจุบันสั่งสมผลบุญกุศล......บุญนั้นก็จะคุ้มครองถึงบุตรหลาน...............

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 09:56:43 AM »

หากใครกล่าวร้ายเรื่องกฎแห่งกรรม
ชาติหน้าก็จะไม่ได้เกิดเป็นคนอีก....( เกิดในอบายภูมิ )

หากเชื่อมั่น ยึดมันในกฎแห่งกรรม
ความเจริญมั่งมีศรีสุข  ก็จะมาเยือนถึงบ้านท่าน......

หากใครคอยแนะนำเผยแพร่ เรื่องกฎแห่งกรรม..
ก็จะเจริญยิ่งๆ ขึ้นชั่วลูก.....ชั่วหลาน.....

หากใครยึดมั่นในกฎแห่งกรรม.
ฆาตเคราห์ภัยพิบัติ จะห่างไกลตัว

หากใครเที่ยวบรรยายเรื่องกฎแห่งกรรม..
ทุกๆ ชาติจะเป็นบุคคลผู้มีปัญญาเลิศ......

หากใครมั่นสวดมนต์ในเรื่องกฎแห่งกรรม.....
ชาติหน้าไปถึงไหนก็มีแต่คนนับถือ.......

หาดใครพิมพ์หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมแจก
ชาติหน้าก็จะมีกายมงคลรุ่งโรจน์

หากจะถามถึงเหตุผลของชาติหน้า........
ก็ให้ท่านดูพวกที่กล่าวร้าย พระธรรมในเมืองนรก

หากว่ากฎแห่งกรรมไม่มีการตอบสนอง...
ก็ให่ท่านอ่านเรื่องพระโมคคัลลาน์ช่วย มารดาในเมืองนรก

หากบุคคลใดก็ตาม ที่ยึดมั่นในกฎแห่งกรรม
ก็จะได้ไปเกิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร.......

เรื่องกฎแห่งกรรมในสามโลกนี้พูดกันไม่จบ....
สวรรค์ไม่เคยขาดคนจิตกุศล........

ในพระรัตนตรัยเป็นแก้ววิเศษ
รู้จักสละบ้าง ผลที่ท่านจะได้รับเหลือคณานับ........

เหมือนดั่งท่าน สะสมอริยทรัพย์ ไว้ในเซฟที่มั่นคง
จะได้รับผลประโยชน์ทุกๆ ชาติไป..............................


"หากท่าน จะถามถึงเรื่องชาติปางก่อน          ก็ให้ดูผลที่ท่าน ได้รับในปัจจุบัน.........
หากท่าน จะถามถึงเรื่องชาติหน้า               ก็ให้ดูในสิ่งที่ท่าน กระทำในปัจจุบัน............."
บันทึกการเข้า
sirirrin
สนับสนุนLSV-server
member
***

คะแนน180
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 301



« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 12:24:42 PM »

ข้อมูลเยอะดีจังเลย

ขออนุญาตคุณ D2058 เจ้าของกระทู้

นำข้อมูลไปวางที่เว็บครูต๋อมบ้างนะคะ

ขอบคุณล่วงหน้ามากๆเลยค่ะ

THANK!! THANK!! THANK!!
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 06:47:52 PM »

ข้อมูลเยอะดีจังเลย

ขออนุญาตคุณ D2058 เจ้าของกระทู้

นำข้อมูลไปวางที่เว็บครูต๋อมบ้างนะคะ

ขอบคุณล่วงหน้ามากๆเลยค่ะ

THANK!! THANK!! THANK!!

ได้ครับ   ครู sirirrin ...........
สัพพะทานัง ธัมมะทานัง  ชินาติ...
การให้ธรรมะเป็นทาน  ชนะการให้ทั้งปวง............. 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 19, 2009, 12:27:34 PM »

ผมขอมอบ ให้กับผู้ที่ศึกษาหลักธรรมะทุกๆ ท่าน..........
อนุญาต ให้เผยแพร่เป็นธรรมะทานได้ครับ.........
ผมไม่ได้เอามาจากที่ไหนไกลครับ.........เป็นหนังสือธรรมะเล่มเก่าๆ เล่มหนึ่งของย่าผมเอง..............
จำชื่อเล่มไม่ได้ครับ...... เพราะผมขอถ่าย เอกสารมาอีกที....

หากบุญกุศลอันใดอันจะพึงเกิดขึ้นจากบทความนี้ ขอให้บุญกุศลส่วนี้แผ่ไพศาลไปสู่เทพเจ้าเหล่ามนุษย์และปวงสรรพสัตว์ เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายทุกถ้วนหน้า ขอพระธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงสถิตสถาพรจีรังยั่งยืนอยู่ในโลกนี้ชั่วกาลนาน เทอญ................................. 

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2009, 06:32:57 PM »

อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม

--------------------------------------------------------------------------------

สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระนิพนธ์เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต
และพระคติธรรมเพื่อเป็นแสงส่องใจ

 

พระคติธรรม
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจในกรรมนั้น ไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม เป็นทาสกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน

คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า จะต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น อันเป็นส่วนจิต และศีลอันหมายถึงตั้งเจตนาเว้นการที่ควรเว้น ทำการที่ควรทำให้ขอบเขตอันควร

ทางพระพุทธศาสนา สอนให้ทุก ๆ คนพิจารณาหลักกรรมเนือง ๆ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาท พยายามละกรรมชั่ว ประกอบแต่กรรมดี การที่ยังปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้ ก็เพราะยังประมาท มิได้พิจารณาในหลักกรรม และไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อในผลของกรรม ต่อเมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท และมีศรัทธาเชื่อดังกล่าว จึงจะละกรรมชั่ว ทำกรรมดีได้ตามสมควร

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก

อำนาจของกรรมใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก ไม่มีอำนาจใดทำลายล้างได้ แม้อำนาจของกรรมดีก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมชั่วและอำนาจของกรรมชั่วก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมดีอย่างมากที่สุดที่มีอยู่ คือ อำนาจของกรรมดีแม้ให้มาก ให้สม่ำเสมอในภพภูมินี้ ก็อาจจะทำให้อำนาจของกรรมชั่วที่ได้ทำมาแล้วตามมาถึงได้ยาก ดังมีเครื่องขวางกั้นไว้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ดังที่ท่านเปรียบว่าเหมือนวิ่งหนีผู้ร้ายที่วิ่งไล่ตามมา ถ้ามีกำลังแข็งแรง วิ่งเร็วกว่าผู้ร้าย ก็ย่อมยากที่ผู้ร้ายจะไล่ทัน ความแข็งแรงของผู้วิ่งหนีกรรมชั่ว ก็หาใช่อะไรอื่น คือ ความเข้มแข็งสม่ำเสมอของการทำกรรมดีนั่นเอง




โรคทางใจมีอยู่ทั่วทุกตัวคน
หนักเบาต่างกันที่อำนาจของกรรมที่ตนกระทำ


คนน่าสงสารในโลกนี้มีมากนัก ทั้งน่าสงสารทางกาย และน่าสงสารทางใจ เราเองแทบทุกคนก็เป็นโรคน่าสงสารเช่นที่กล่าวแต่เมื่อไม่ใช่โรคทางกาย ก็ไม่เห็นกันไม่รู้กันว่า ตนเป็นคนหนึ่ง จำนวนมหาศาลที่น่าสาร และน่าสงสารยิ่งกว่าเป็นโรคทางกาย น่ากลัวน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเป็นโรคทางกาย โรคน่าสงสารทางใจตัวเอง ต้องรู้ด้วยตัวของตัวเอง ต้องยอมรับด้วยตัวของตัวเอง จึงจะแก้ไขได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีทางจะรักษาโรคทางใจได้เลย แม้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นโอสถรักษาโรคทางใจของผู้ที่ไม่ยอมรับรู้ว่าใจของตนมีโรค นั่นก็คือผู้ไม่ยอมรักการรักษา ไม่ยอมรับโอสถของพระพุทธเจ้า เขาย่อมเป็นคนน่าสงสารตลอดไป พบคนเช่นนี้พึงย้อมดูตนเอง คงจะต้องพบโรคทางใจด้วยกันเพียงแต่ว่าจะมากน้อยหนักเบากว่ากันเพียงไร ตามอำนาจของกรรมที่ได้กระทำมาแล้วเท่านั้น

กรรมให้ผลตรงตามเหตุแห่งการกระทำ

กรรมนั้นน่าเชื่อถือนักในการให้ผลตรงตามเหตุ ไม่มีอคติด้วยอำนาจใดเลย แม้เกิดอยู่ในฐานะที่สุขสบาย ก็มิใช่ว่าไม่จำเป็นต้องนึกถึงกรรม มิใช่ว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อกรรม สุขสบายเพียงไร ก็จำเป็นต้องนึกถึงกรรม ถ้าไม่ได้ทำกรรมดีอันควรแก่เหตุแล้ว จะอยู่ในฐานะสุขสบายได้อย่างไร ใครอื่นอีกมากมายหาได้อยู่ในฐานะเช่นนั้น อดอยากยากไร้เข็ญใจกันนักหนา ทำไมเป็นได้เช่นนั้น มีอะไรเป็นเครื่องทำให้เป็นไป แม้ไม่ตั้งข้อคิดในเรื่องเช่นนี้เสียเลย ย่อมไม่อาจอบรมปัญญาให้เห็นถูกในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรมได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญแก่ทุกชีวิตที่ปรารถนาความสวัสดี

ทั้งคนและสัตว์ ต่างถูกอำนาจกรรมทำให้เป็นไป

คนก็ตาม สัตว์ก็ตาม เกิดด้วยอำนาจของกรรม กรรมนำให้เป็นคน และกรรมนำให้เป็นสัตว์ เชื่อไว้ก่อนย่อมมีโอกาสที่จะพ้นจากความเป็นสัตว์ เพราะเมื่อเชื่อว่ากรรมมีอำนาจถึงเพียงนั้น ก็ย่อมขวนขวายทำกรรมที่จะไม่นำให้ต้องไปเป็นสัตว์ ไม่มีใครที่ไม่กลัวความเป็นสัตว์ และมีโอกาสที่จะได้เกิดเป็นสัตว์แน่ในภพภูมิข้างหน้า แม้บังเอิญไปทำกรรมที่จะทำให้เกิดผลเช่นนั้นโดยจะรู้หรือไม่รู้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พลาดพลั้งไปทำกรรมผิดเข้า ก็จะไม่อาจปฏิเสธผลของกรรมได้เลย

ไม่มีผู้ใดปรารถนารับผลของกรรมที่ไม่ดี

อันผู้ไม่ทำดีประการต่าง ๆ ด้วยกายวาจา อันเนื่องมาจากใจที่ไม่ดีของเขานั้น ที่จริงแล้วผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาพอสมควร ประกอบด้วยความเชื่อในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรมไม่น่าจะมีผู้ใดปรารถนาเป็นคนไม่ดี แต่ทำไมจึงมีคนไม่ดีมากมาย ทั้ง ๆ ที่มิได้ปรารถนา คิดให้เข้าใจในเรื่องของกรรมจะรู้ชัดว่ากรรมที่คนผู้นั้นทำไว้ในอดีต ได้ติดตามห้อมล้อมจิตเขามาให้ปรากฏเป็นผลในปัจจุบัน ทั้งที่ในปัจจุบันเขาก็มิได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และหากเขาเข้าใจเรื่องของกรรมบ้างแล้ว เขาจะกลัวไปถึงชาติในอนาคต เขาจะพยายามไม่ทำกรรมไม่ดี เพราะเข็ดกลัวผลของกรรมที่ทำให้เขาต้องเป็นคนไม่ดีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งที่เขาไม่ปรารถนาเลย

ความรักผู้อื่น ทำให้หลีกเลี่ยงการทำกรรมไม่ดีได้

เป็นผู้ใหญ่ก็อย่าทำกรรมไม่ดี เป็นเด็กหรือเป็นหนุ่มสาวก็อย่าทำกรรมไม่ดี แม้รักตัวเองก็อย่าทำกรรมไม่ดี จงทำแต่กรรมดี หรือแม้รักพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ก็อย่าทำกรรมไม่ดี ผลไม่ดีที่ผู้ทำได้รับนั้นจะทำให้บรรดาผู้ที่รักตนพลอยกระทบกระเทือนไปด้วย ลองนึกถึงใจตนเอง เมื่อเห็นผู้ที่ตนรักทำความไม่ดี แม้ผลไม่ดี ยังไม่ทันปรากฏชัด ตนก็ไม่สบายใจ ยิ่งเมื่อได้ผลร้ายเกิดขึ้นสนองผู้ทำกรรม เราผู้มีความผูกพันกับเขา ก็ย่อมเหมือนพลอยได้รับผลร้ายด้วย

ถ้าเราทำกรรมไม่ดี ผู้ที่รักเราก็ได้รับผลไม่ดีไปด้วย

ดังนั้นแม้ไม่รักตนเอง ก่อนจะทำอะไรก็ควรนึกถึงใครทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องมีผู้เป็นที่รักอยู่ด้วย ถ้าเราทำกรรมไม่ดีได้รับผลไม่ดี ผู้ที่รักเราและผู้ที่เรารักก็จะต้องพลอยได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจไปด้วยอย่างไม่ยุติธรรม เพราะมิได้เป็นผู้ทำกรรมไม่ดีด้วย แต่ต้องพลอยได้รับผลไม่ดีเพราะความผูกพัน ดังนั้นจะทำความไม่ดีใด ก็น่าจะนึกถึงบรรดาผู้ที่มีความผูกพันกับเราบ้าง อาจจะช่วยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในการหลีกเลี่ยงการทำกรรมไม่ดี




ใช้สติยั้งคิดให้เคยชินก่อนทำกรรมไม่ดีใด ๆ

ก่อนจะทำกรรมใด แม้หยุดยั้งตั้งสติ คิดให้ดีว่ากรรมนั้นดีหรือไม่ดี ก็จะทำให้ไม่ทำกรรมไม่ดีอย่างเต็มใจ อย่างสบายใจ แต่จะมีเวลายับยั้งชั่งใจ อันเป็นความสำคัญควรจะทำให้เป็นความเคยชินด้วยกันทุกคน

หมั่นพิจารณาให้กลัวกรรมไม่ดีอยู่เนือง ๆ

การพิจารณากรรมให้กลัวกรรมไม่ดีนั้น อาจทำได้แม้เมื่อเป็นสิงสาราสัตว์ จะเห็นตัวจริงหรือเห็นเพียงรูปภาพก็ตาม สัตว์เหล่านั้นล้วนมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด แต่ก็เหตุใดเล่าที่ทำให้ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ ไม่ได้เกิดเป็นผู้เป็นคน เป็นมนุษย์ที่สูงกว่าประเสริฐกว่าเป็นอันมาก ต้องกรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้ประกอบกระทำมาให้อดีตชาติปรุงแต่งให้เป็นไป ให้มีรูปลักษณ์ของสัตว์ ที่แม้บางชนิดจะน่ารักน่าเอ็นดู แต่ก็เป็นสัตว์ แม้จะได้รับความรักความเอ็นดูอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูอย่างดี ก็เป็นแบบที่ให้แก่สัตว์ และก็ไม่แน่ใจน่าสัตว์จะมีความคิดอย่างไร จะเศร้าเสียใจในความต้องการเป็นสัตว์หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพ้นจากภพภูมิมนุษย์ทันทีก็ได้ภพภูมิของสัตว์ อาจจะยังไม่ลืมชีวิตในภพภูมิมนุษย์ อาจจะยังจำผู้คนที่เกี่ยวข้องด้วยได้ จิตของสัตว์นั้นจะน่าสงสารสักเพียงไหน แต่เมื่อเกิดแล้วก็เลือกไม่ได้แล้วที่จะเกิดเป็นอะไรอื่น ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกคนมีโอกาสที่จะเลือกชีวิตข้างหน้า ภพภูมิข้างหน้าได้ ถึงทำความดีให้เต็มความสามารถ อย่าละโอกาสที่จะทำความดีเลย นั่นแหละจะเป็นการเลือกภพชาติข้างหน้าสำหรับตนได้ จะเลือกเป็นอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็ได้





ผู้ไม่ประมาท ระวังในการกระทำกรรม

อนิจจัง ... ความไม่เที่ยง
ทุกขัง ... ความเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลง
อนัตตา ... ความไม่เป็นไปตามปรารถนาต้องการ
นี้คือ ไตรลักษณ์ ลักษณะสามที่มีในทุกคนทุกสิ่ง ความสุข ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อม ความเป็นมนุษย์ ความเป็นสัตว์ เหล่านี้ตนอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ดังนั้นแม้ว่าชาติหนึ่งกรรมไม่ดีจะแต่งให้เป็นสัตว์ ก็มิใช่ว่าจะต้องเป็นสัตว์ทุกชาติ และแม้ว่าชาติหนึ่งกรรมดีจะนำให้เป็นมนุษย์ ก็มิใช่ว่าจะได้เป็นมนุษย์ทุกชาติ นั่นก็คือสัตว์ย่อมเป็นคนได้ และคนก็ย่อมเป็นสัตว์ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ผู้ไม่ประมาทระวังในการกระทำกรรม ย่อมสามารถพ้นจากการถือภพชาติอันไม่ปรารถนาได้

ผู้ไม่ประมาทพึงทำใจให้พ้นจากความยึดมั่น

กรรมที่อาจทำให้มนุษย์ในชาติหนึ่งต้องเป็นสัตว์ในอีกชาติหนึ่ง หรือทำสัตว์ในชาติหนึ่งให้กลับเป็นมนุษย์ในอีกชาติหนึ่ง มีผู้เขียนบ้างเล่าบ้างไว้หลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องที่มีปรากฏในพุทธกาล จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามพึงไม่ประมาท กรรมใดที่เคยมีแสดงไว้ว่า ทำให้มนุษย์ต้องเกิดเป็นสัตว์ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่พึงทำ กรรมสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นกรรมทางใจคือความผูกพัน ผู้ตายมีความผูกพันในภพภูมิของตน เช่น ผูกพันในทรัพย์สมบัติของตนในภพภูมินั้น ความผูกพันยึดมั่นอาจนำให้กลับมาเกิดในบ้านเรือนตนอีกได้ แต่จะมิใช่เป็นมนุษย์ มีเรื่องเล่าว่า เกิดเป็นเล็นก็มี เกิดเป็นสุนัขก็มี ซึ่งน่าจะไม่มีผู้ใดปรารถนาจะเป็น จึงน่าจะต้องระวังกรรมทางใจให้มาก เช่นเดียวกับกรรมทางกายทางวาจา อย่ายึดมั่นห่วงใยในอะไรให้มากนัก วางเสีย ปล่อยเสีย ท่องพุทโธไว้เสมอนั่นแหละจะทำให้ถอนใจจากความยึดมั่นได้ เคยมีผู้เล่าเรื่องของพระพุทธรูปงดงามองค์หนึ่ง สิ้นชีวิตไปในขณะที่จิตใจกำหลังรักและหวงแหนพระพุทธรูปองค์นั้นอย่างยิ่ง เมื่อมีผู้มาขอชมพระพุทธรูป ก็มีงูใหญ่เลื้อยมาแผ่พังพานขู่อยู่ต่อหน้าแสดงความหวงแหน เมื่อผู้มาขอชมพูดว่าเพียงมาขอชมไม่ได้คิดจะนำไปเป็นของตน งูก็เลื้อยห่างไป ว่ากันว่าเจ้าของพระพุทธรูปได้มาเกิดเป็นงูเสียแล้ว เพราะความผูกพันหวงแหนพระพุทธรูป ความยึดมั่นผูกพันจึงเป็นกรรมทางใจที่น่าจะเป็นเหตุแห่งการทำให้มนุษย์ในชาติหนึ่งต้องเป็นสัตว์ในอีกชาติหนึ่งได้ จึงไม่พึงประมาท จะจริงหรือไม่จริง เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็อย่าประมาทไว้ก่อน พยายามทำกรรมทางใจให้พ้นจากความยึดมั่นถือมั่นให้ได้เต็มความสามารถเถิด






อำนาจแห่งมโนกรรม

ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องที่พระภิกษุรูปหนึ่งเมื่อมรณภาพลงพระรูปหนึ่งจะนำจีวรไป พระพุทธเจ้าทรงห้ามและรับสั่งเล่าว่า พระภิกษุผู้เป็นเจ้าของจีวรนั้น ได้มาเกิดเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวรที่ท่านซักตากไว้ เพราะจิตของท่านเมื่อจะมรณภาพนั้นผูกพันอยู่กับจีวรผืนนั้น ที่ท่านเพิ่งได้มาและชอบมา กรรมทางใจหรือมโนกรรมมีโทษหนักเพียงนี้ ทำมนุษย์ในชาติหนึ่ง ให้เป็นสัตว์ในอีกชาติหนึ่งก็ได้ ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือเมื่อเป็นสัตว์แล้ว ก็ยังระลึกถึงครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ได้ จะเดือนร้อนใจเพียงไหน พระพุทธเจ้ารับสั่งห้ามไม่ให้นำจีวรไป เพราะเล็นที่เป็นเจ้าของจีวรครั้งยังเป็นพระภิกษุนั้นหวงอยู่ ถ้านำจีวรไปก็จะโกรธแค้นขุ่นเคือง จะทำให้ไม่ได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นอันมาก อำนาจกรรมแม้เพียงมโนกรรมทางใจ ไม่ได้ปรากฏเป็น กายกรรม วจีกรรม ถึงเป็นการเบียดเบียนทำร้ายผู้ใด ก็ยังมีอำนาจใหญ่ยิ่งเพียงนี้ พระพุทธเจ้ายังทรงเตือนให้ระวัง ทุกคนจึงควรระวังให้จงหนัก


กรรมส่งผลแน่นอนต่อผู้กระทำ


ทุกวันนี้มีข่าวฆ่าฟันกันอย่างทารุณโหดเหี้ยม มิได้เว้นแต่ละวันพบแล้ว เห็นแล้ว ก็ให้นึกถึงกรรม เคยฆ่าเขามาก็ถูกเขาตามมาฆ่า คนละภพคนละชาติ ข้าภพข้ามชาติแล้วก็ยังตามกันมาได้ มาส่งผลได้ เรื่องกรรมเป็นเช่นนี้ จึงน่ากลัวกรรมนัก พึงกลัวกรรมนัก ไม่พึงคิดว่าการเชื่อว่าการฆ่าฟันตามล้างตามผลาญกัน เป็นเรื่องกรรมนั้นเป็นความเชื่อที่เหลวไหล ไม่มีเหตุผล ไม่พึงคิดเช่นนี้ เพราะไม่มีคุณอย่างใด จะถูกหรือจะผิด ถ้านึกเชื่อไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องการให้ผลของกรรม ก็จะทำให้ไม่กล้าทำกรรมไม่ดีโดยตั้งใจ ก็จะพ้นจากผลของกรรมไม่ดีนั้นแน่นอน อุบัติเหตุในยุคนี้สมัยนี้ ที่รุนแรงก็มีมากมาย บางเรื่องไม่น่าเป็นก็เป็น บางคนไม่น่าประสบอุบัติเหตุเช่นนั้นก็ต้องประสบ ดูไปแล้ว คิดไปแล้ว ก็น่าจะรู้สึกว่าอุบัติเหตุอย่างนั้น ๆ เกิดขึ้นเพื่อให้คนนั้นคนนี้ต้องบาดเจ็บหรือล้มตายไปเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้ เพราะไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ ก็ย่อมจะทำให้คิดว่าต้องเป็นเรื่องที่กรรมจะส่งผลแก่ผู้นั้น ในที่นั้น ในเวลานั้น อุบัติเหตุจึงต้องเกิดขึ้นดังนี้ การถูกฆ่าของเด็กไร้เดียงสาหาความผิดไม่ได้ ซึ่งปรากฏขึ้นบ่อย ๆ ในยุคนี้ น่าจะทำให้ความเชื่อในเรื่องกรรมและการทำให้ผลของกรรมหนักแน่นขึ้น ทำไมต้องเป็นเด็กคนนั้นที่ถูกฆ่าทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องขุ่นเคืองโกรธแค้นกัน อยู่ดี ๆ มีความสุข ก็ปุบปับถูกนำไปประหัตประหาร ในฐานะเป็นผู้ดู จงดูด้วยความรู้สึกกลัวกรรม ไม่ควรดูด้วยความรู้สึกอาฆาตขุ่นเคือง เพราะจะไม่เป็นคุณแก่จิตใจตนเอง มีแต่จะเป็นโทษ รู้แล้ว ปลงลง นี่แหละอำนาจของกรรมยิ่งใหญ่นัก พึงกลัวนัก

ใจจักร้อนรุ่ม ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกรรมและผลกรรม

แม้ในฐานะเป็นผู้ดู มิใช่ผู้พลอยได้รับความเดือนร้อนทนทุกข์ทรมานด้วย ถ้าไม่สามารถทำใจอบรมใจให้เข้าใจในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมได้แล้ว เมื่อตนต้องเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในเหตุการณ์อันร้ายแรง ก็ย่อมยากที่จะช่วยใจตนเองให้พ้นจากความร้อนได้ แม้เพียงพอสมควร

รับรู้สิ่งใด พึงถือโอกาสอบรมจิตใจเรื่องกรรม

เรื่องร้ายแรงที่เราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เกิดขึ้นอยู่มากมายทุกวัน ทุกคืน แม้จะอยู่ในบ้านเรือนตนสมัยนี้ก็สามารถรับรู้ได้ เห็นได้ ได้ยินได้ พึงถือโอกาสอบรมใจตนเองให้เชื่อในเรื่องของกรรม กรรมน่ากลัวเพียงไร คิดให้ดี เมื่อกรรมมาถึง หนีได้หรือไม่ คนดีในชีวิตนี้มิใช่ว่าจะไม่เคยทำกรรมไม่ดีมาก่อนในอดีตชาติ ดังนั้น จึงปรากฏย่อย ๆ ว่าคนดีแสนดีกลับต้องได้ความทุกข์หนักหนา ด้วยโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ด้วยความไม่สมหวังในเรื่องใหญ่โตสำคัญแก่จิตใจบ้าง เป็นเหตุให้ต้องเศร้าหมองทรมานอย่างยิ่ง


ผู้มีปัญญาพึงรับผลของกรรมให้ถูกต้อง


เราได้รู้ได้เห็นอย่าพิศวงสงสัย อย่าได้คิดผิดว่าคนทำดีไม่ได้ดี แต่จงวางใจให้ถูก ให้เป็นประโยชน์แก่ตน วางใจลงในกรรมที่สลับซับซ้อนยิ่งนัก ยากที่จักเข้าใจ แต่ก็ไม่ยากที่จะเชื่อไว้ก่อน อะไรที่เชื่อไว้ก่อนแล้วไม่มีโทษมีแต่คุณ ผู้มีปัญญาแม้พอสมควรย่อมไม่ดื้อปฏิเสธ การรับผลของกรรมนั้นสำคัญมาก สำคัญทั้งการับผลของกรรมชั่วและการรับผลของกรรมดี ไม่สำคัญแต่เพียงการรับผลของกรรมชั่วเท่านั้น การรับผลของกรรมดีก็สำคัญ การรับผลของกรรมดีนั้น ถ้ารับไม่ถูกก็มีโทษร้ายแรงแก่จิตใจน่าจะรุนแรงกว่าการรับผลของกรรมชั่วอย่างไม่ถูกวิธีเสียอีกด้วย ผู้ทำกรรมดีไว้เป็นบารมี ส่งให้ชาตินี้สมบูรณ์พร้อม แม้รับผลแห่งกรรมดีหรือผลของบารมีไม่ถูก ผลเสียที่จะเกิดตามมาคือ ความหลงตน อันความหลงตนนั้นจะพาความหลงอีกมากมายให้ตามมา เป็นโทษมหันต์นัก

ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว มีคุณและโทษในตัว

ผลของกรรมดีและผลของกรรมชั่ว มีทั้งคุณและมีทั้งโทษอยู่ในตัว คุณหรือโทษจะปรากฏตามการวางใจรับผลนั้น ผลของกรรมดีที่เกิดแก่ผู้ใดก็ตาม แม้ผู้นั้นวางใจรับไม่ถูก ไม่ประกอบด้วยปัญญา ผลดีก็จะไม่สมบูรณ์ ทั้งผลร้ายก็จะต้องตามมา




การทำใจให้รับผลของกรรมดีอย่างถูกต้อง


ผู้ได้รับผลดีของกรรมดี คือ การได้ประสบโลกธรรมฝ่ายดี คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นั่นเอง ต้องรับให้ดี ต้องรับให้ถูก วิธีทำใจให้รับโลกธรรมอย่างถูกต้องที่สุดก็คือให้คิดว่า ลาภก็ตาม ยศก็ตาม สรรเสริญก็ตาม สุขก็ตาม ล้วนอยู่ในลักษณะของไตรลักษณ์ คือไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ ได้รับผลดีของกรรมดี คือ ได้ประสบโลกธรรมฝ่ายดีเมื่อไร เมื่อนั้นให้ถึงคิดไตรลักษณ์ให้ทันที จะรับผลดีของกรรมดีที่ดียิ่งกว่าผลดีทั้งนั้น การคิดถึงไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ คือ การทำความดีทางใจ เป็นมโนกรรมที่ดี จึงย่อมได้รับผลเป็นความดีตรงตามเหตุที่ได้กระทำ ที่จริงมโนกรรม กรรมทางใจ คือ คิดดีนั้น แม้ตั้งใจจริงที่จะทำก็น่าจะง่ายกว่ากรรมทางกาย ทางวาจา เพราะเรื่องของความคิดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของเราเองอย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวกับผู้ใดหรืออะไรเลย ความคิดอยู่กับเราจริง ๆ ไม่มีผู้ใดอาจล่วงล้ำก้ำเกิดไปบังคับบัญชาได้

การทำใจเมื่อได้รับผลของกรรมชั่วอย่างถูกต้อง

ได้รับผลของกรรมชั่ว คือ ได้ประสบโลกธรรมฝ่ายไม่ดี ก็ควรต้องทำใจให้รับให้ถูก เช่นเดียวกับการทำใจรับโลกธรรมฝ่ายดีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะปล่อยใจให้ตกอยู่ในอำนาจของความทุกข์ ความเศร้าเสียใจ หรือความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท รับผลไม่ดีของกรรมไม่ดี ด้วยวิธีคิดเช่นเดียวกับเมื่อได้รับผลดีของกรรมดี คือ คิดถึงไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น ทุกข์แล้วก็สุข เป็นธรรมดา

ผลของกรรมเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ทั้งผลของกรรมดี และผลของกรรมชั่ว ล้วนมีลักษณะสาม คือ ไม่เที่ยง ทนทุกข์อยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการของผู้ใด กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งผลของกรรมดีและกรรมชั่วนั้น เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ ไม่มีที่จะยั่งยืนอยู่ได้ตลอดไป

พึงละความยึดมั่นในผลของกรรมทั้งปวง

สิ่งทั้งปวงเกิดแล้วต้องดับ คือมีลักษณะสาม มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์ โลกธรรมผ่ายดีคือผลของกรรมดีก็เช่นกัน เกิดแล้วต้องดับ โลกธรรมฝ่ายไม่ดีคือผลของกรรมไม่ดีก็เช่นกัน เกิดแล้วต้องดับ เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรู้เช่นนี้ตามเป็นจริงแล้ว ก็พึงละความยึดมั่นในผลของกรรมที่ได้ประสบอยู่ ไม่ว่าจะเมื่อประสบผลดีหรือเมื่อได้ประสบผลชั่วก็ตาม




ถึงทุ่มเทจิตใจให้กระทำแต่กรรมดี


ความยึดมั่นถือมั่น เป็นความไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละ แต่เมื่อยังละความยึดทุกอย่างไม่ได้ ก็พึงทุ่มเทจิตใจให้ยึดมั่นการทำกรรมดี ยึดมั่นความเชื่อในผลของการทำความดี ว่าทำดีจักได้ดีจริง มีความยึดมั่นความเชื่อในผลของการทำความชั่ว ว่าทำชั่วจักได้ชั่วจริง ความยึดมั่นเช่นนี้จักเป็นทางนำไปดี ให้ได้ทำดี ไม่ทำไม่ดี ซึ่งก็ย่อมจักนำให้พ้นทุกข์โทษภัยของกรรมไม่ดี ได้รับแต่คุณประโยชน์สารพัดของกรรมดี



ที่มา http://board.palungjit.com/  wav!!  wav!!
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2009, 07:41:26 PM »

วิบากกรรมจากจิตริษยา

ความริษยาเกิดจากการขาดมุทิตา (ที่มีลักษณะคือความชื่นชม) หมายความว่า พลอยยินดีในความสุขหรือความสำเร็จของผู้อื่น มุทิตานี้ทำได้ยากกว่ากรุณา บางคนมีเมตตาปรารถนาดี มีความกรุณาสงสาร แต่เจริญมุทิตาไม่ได้ เพราะเราทุกคนมีอนุสัยกิเลสคือความริษยานอนเนืองอยู่ในกระแสจิต น้อยคนนักที่จะกำจัดความริษยานั้นได้

จะต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ จึงจะบรรเทาลงได้ การฝึกฝนนั้นก็ต้องประกอบด้วยโยนิโสมนสิการ คือทำความเข้าใจด้วยเหตุผลว่าความริษยาไม่ก่อให้เกิดคุณใดๆ ผู้มีความริษยานั้นจะได้รับผลคือขาดบริวาร แต่ผู้ที่เจริญมุทิตาโดยกำจัดความริษยาได้ย่อมจะได้รับอานิสงส์คือ มีบริวารห้อมล้อม มีมิตรสหายห้อมล้อม ความริษยานั้นก่อให้เกิดโทษในปัจจุบันและภพต่อไป ไม่ว่าเกิดกับผู้ใดก็ทำให้ผู้นั้นตกต่ำไปตลอด

ยกตัวอย่างกรรมแห่งความริษยาจากพระไตรปิฎก

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่า “โลสกติสสะ” ตอนท่านถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา บิดามารดาก็ได้รับทุกข์แสนสาหัส บ้านของท่านเกิดไฟไหม้จนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่พวกท่านก็อดทนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่รู้ความ เมื่อเดินไปไหนมาไหนได้ก็ถูกทอดทิ้งเป็นขอทานอยู่ข้างถนน


วันหนึ่งพระสารีบุตรเถระ เห็นเข้าก็สงสาร พระสารีบุตรได้หยั่งรู้ว่าเด็กคนนี้เคยสั่งสมบารมีธรรมมาในชาติปางก่อน จึงได้นำตัวมาวัดแล้วให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ ภายหลังเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์


ตั้งแต่ท่านเกิดมาจนกระทั่งบรรลุอรหัตผล ไม่เคยกินอิ่มแม้สักวันหนึ่งเลย ทั้งนี้เพราะเวลาที่ท่านบิณฑบาตอยู่ เมื่อคนใส่บาตรท่านแล้วอาหารหายไปเองก็มี หรือแม้จะมีอาหารอยู่พียงเล็กน้อยแต่คนอื่นกลับเห็นอาหารอยู่เต็มบาตรเลยไม่ถวายอีกก็มี ซึ่งอกุศลกรรมนี้เป็นผลของความริษยา


เรื่องราวในอดีตชาติของพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ มีว่า สมัยหนึ่งเมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระโลสกติสสะนี้เคยบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นภิกษุผู้ทรงศีล วันหนึ่งพบพระเถระรูปหนึ่งที่เป็นพระอรหันต์เดินทางมาจากแดนไกล

พระโลสกติสสะไม่ทราบว่าพระรูปนี้สำเร็จสมณกิจแล้ว ท่านเกรงว่าโยมอุปฏฐากจะเลื่อมใสพระอาคันตุกะรูปใหม่ ด้วยความริษยาจึงแกล้งทำให้พระอาคันตุกะนั้นอดอาหารหนึ่งมื้อ ผลกรรมนี้ส่งผลให้ท่านตกนรกเป็นเวลานาน แล้วมาเกิดเป็นคนที่ไม่เคยกินอิ่มเลย


เมื่อท่านใกล้นิพพาน พระสารีบุตรหยั่งรู้ว่าท่านจะนิพพานในวันนั้น จึงใช้คนนำอาหารไปให้ท่าน เพื่อจะได้ฉันอาหารอิ่มก่อนนิพพาน แต่ด้วยผลกรรมเก่าทำให้คนนำอาหารลืมเสียแล้วเททิ้ง ต่อมาพระสารีบุตรนึกขึ้นได้ให้คนไปถามว่าฉันอาหารหรือยัง ท่านตอบว่าวันนี้ไม่ได้ฉันอะไร

พระสารีบุตรจึงนำยาจตุมธุไปให้ท่านฉัน โดยพระสารีบุตรได้จับบาตรไว้ตลอดเวลาที่ท่านฉันอยู่ หากไม่จับไว้ยาจตุมธุอาจหายไปจากบาตรด้วยผลกรรม พระโลสกติสสะฉันอิ่มวันนั้นเพียงวันเดียวแล้วปรินิพพานในวันนั้นเอง


จะเห็นว่า ผลของความริษยานั้นส่งผลในปัจจุบันและอนาคต สามารถติดตามให้ผลจนถึงช่วงเวลาที่จะนิพพานอีกด้วย

และที่ผลของความริษยาที่เกิดขึ้นกับพระโลสกติสสะอย่างรุนแรง ทำให้ถึงกับตกนรกและมีผลมาจนถึงวันแห่งปรินิพพานนั้น เพราะท่านทำกรรมที่เกิดจากความริษยากับพระอรหันต์นั่นเอง


การทำกรรมไม่ดีกับผู้มีศีล ผู้มีบุญ ผู้มีคุณ ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์จึงเป็นบาปมากกว่าผู้ทุศีล ผู้ไม่มีบุญ ผู้ไม่มีคุณ แต่จะทำกรรมไม่ดีกับใครก็ตามเป็นบาปทั้งหมดจะบาปมากบาปน้อยก็แล้วแต่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนา จะทำกับผู้มีคุณสูงหรือทำกับผู้ไม่มีคุณสูง ผลแห่งกรรมจะได้รับแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง




ขุมนรกประหารใจ เป็นขุมนรกประหารใจวิญญาณบาปจากคนจำพวก ใจอิจฉาริษยา ใจอธรรมลำเอียง ใจโหดเหี้ยมอำมหิต ใจที่มีแต่เคียดแค้นพยาบาท ใจที่เห็นแก่ตัวและจงเกลียดจงชังผู้อื่น ใจที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ ใจที่วิปริตหมกหมุ่นแต่กามารมณ์ ใจทรยศคดโกง ฯลฯ.
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12083

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2009, 08:05:26 PM »

การทำกรรมไม่ดีกับผู้มีศีล ผู้มีบุญ ผู้มีคุณ ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์จึงเป็นบาปหนัก

ข้อความนี้สำคัญมากๆ และมีคนทำผิดกันมากๆ โทษหนักถึงขั้นไม่มีแผ่นดินอยู่ โทษรองลงมาก็อายุสั้น โทษเบาสุดก็ค้าขายไม่ขึ้นซึ้งเขาไม่รู้ตัวเลย ว่าทำไมชีวิตเขาถึงแย่วันแย่คืน ทำอะไรก็ไม่ขึ้น ทั้งๆเขาเคยค้าขายดี มีเงินมีทอง มีบริวาร แต่วันนี้ ทั้งขายไม่ดีทั้งไม่มีเงินทอง ไม่มีบริวาร
บันทึกการเข้า

saksit
member
*

คะแนน2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 63


« ตอบ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2010, 06:24:33 PM »

คำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโท
เธอจงระวัง ความคิด ของเธอ
เพราะ ความคิด ของเธอ
จะกลายเป็น ความประพฤติ ของเธอ

เธอจงระวัง ความประพฤติ ของเธอ
เพราะ ความประพฤติ ของเธอ
จะกลายเป็น ความเคยชิน ของเธอ

เธอจงระวัง ความเคยชิน ของเธอ
เพราะ ความเคยชิน ของเธอ
จะกลายเป็น อุปนิสัย ของเธอ

เธอจงระวัง อุปนิสัย ของเธอ
เพราะ อุปนิสัย ของเธอ
จะ กำหนดชะตากรรมของเธอ...ชั่วชีวิต

บันทึกการเข้า
fcy
member
*

คะแนน2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 22


อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2010, 02:27:27 PM »

 Lips Sealed Cheesy
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: