"ครั่ง" มะละกอไทย เพื่อทำส้มตำโดยเฉพาะ
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
มีนาคม 29, 2024, 06:11:31 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "ครั่ง" มะละกอไทย เพื่อทำส้มตำโดยเฉพาะ  (อ่าน 14845 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 13, 2008, 02:04:29 PM »



"ครั่ง" มะละกอไทย เพื่อทำส้มตำโดยเฉพาะ

แต่เดิมคนไทยมักจะคุ้นเคยกับมะละกอดิบพันธุ์แขกนวล หรือมะละกอพันธุ์แขกดำ ที่นำมาทำส้มตำซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตของคนไทย แต่มะละกอไทยที่มีชื่อว่า พันธุ์ "ครั่ง" เป็นสายพันธุ์มะละกอที่ศูนย์และพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดมหาสารคาม (พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง) สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 จังหวัดขอนแก่น กรมส่งเสริมการเกษตร ได้พัฒนาสายพันธุ์เพื่อการผลิตเป็นมะละกอดิบใช้ทำส้มตำโดยเฉพาะ ด้วยลักษณะเด่นตรงที่เป็นมะละกอที่ให้ผลผลิตสูง หลังจากย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง ใช้เวลาปลูกเพียง 5-6 เดือน เริ่มเก็บเกี่ยวผลดิบจำหน่ายเป็นมะละกอส้มตำได้ เนื้อของมะละกอดิบพันธุ์ครั่งจะมีความกรอบและรสชาติหวานกว่ามะละกอดิบสายพันธุ์อื่นๆ เมื่อเก็บผลดิบลงมาจากต้นจะคงสภาพในอุณหภูมิปกติโดยไม่เหี่ยวและคุณภาพไม่เปลี่ยนแปลงนานถึง 1 สัปดาห์ ทำให้พ่อค้าที่มารับซื้อจะชะลอการจำหน่ายได้



ลักษณะประจำพันธุ์โดยรวมของมะละกอพันธุ์ครั่ง

จากการคัดเลือกพันธุ์ยังพบว่า เมล็ดมะละกอพันธุ์ครั่ง ยังมี 3 เพศ คือ ต้นกะเทย ต้นตัวเมีย และต้นตัวผู้ ดังนั้น เกษตรกรที่ได้เมล็ดไปปลูกจะต้องมีการคัดเลือกต้นในแปลงอีกครั้งหนึ่ง ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า มะละกอพันธุ์ครั่ง จะมีลักษณะเหมือนมีมะละกอ 2 สายพันธุ์ อยู่ภายในต้นเดียวกัน คือ ระยะต้นเล็กจะมีสีแดงอมม่วง บริเวณก้านใบและมีจุดตามลำต้นคล้ายกับมะละกอพันธุ์โกโก้ เมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่สีเหล่านั้นจะหายไป ในขณะที่พันธุ์โกโก้สีและจุดยังคงเดิม และเมื่อผลสุกเนื้อของมะละกอพันธุ์ครั่งจะมีสีเหลืองอมส้มคล้ายกับมะละกอพันธุ์สายน้ำผึ้ง มะละกอพันธุ์ครั่งที่คัดเลือกพันธุ์ขึ้นมาใหม่นี้จะเป็นมะละกอต้นเตี้ย มีลักษณะผลใหญ่และยาว (ต้นกะเทย) บริเวณผลจะมีร่องข้างผลยาวตลอดตั้งแต่หัวไปยังท้ายผล เมื่อผ่าดูลักษณะภายในจะมีความหนาของเนื้อประมาณ 2 เซนติเมตร สีของเนื้อมีสีขาวขุ่นและไม่แข็งกระด้าง รสชาติหวานกว่าพันธุ์แขกนวล จากการศึกษาในแปลงปลูกของทางราชการหรือในแปลงปลูกของเกษตรกรหรือแม้แต่ในแปลงปลูกของแผนกฟาร์มชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร จังหวัดพิจิตร พบว่า มะละกอพันธุ์ครั่ง มีความต้านทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีระดับหนึ่ง



การปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งในเชิงพาณิชย์

เกษตรกรจะต้องเริ่มต้นด้วยการเพาะเมล็ดมะละกอพันธุ์ครั่งอย่างถูกวิธีเสียก่อน ด้วยการใช้วัสดุเพาะที่มีสัดส่วนของหน้าดิน 2 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 2 ส่วน แกลบดิน 1 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และขุยมะพร้าว 1 ส่วน ให้แช่เมล็ดมะละกอไว้นานประมาณ 12 ชั่วโมง จากนั้นนำมาแช่ในน้ำอุ่น (ใช้มือจุ่มลงไปในน้ำรู้สึกว่าไม่ร้อน) นานประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด

แปลงที่จะใช้ปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งควรจะยกแปลงปลูกแบบลูกฟูกหรือร่องลอย ให้มีความกว้างของแปลง 6 เมตร ใน 1 แปลงปลูก จะปลูก 2 แถวคู่ ระยะปลูกระหว่างต้น 2.5 เมตร ระหว่างแถว 3 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกมะละกอครั่งได้ ประมาณ 192 ต้น มีเกษตรกรบางรายจะยกแปลงเป็นลูกฟูกและจะปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งเพียงแถวเดียว โดยใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร หรือต้องการให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดีอาจจะปรับระยะปลูกเป็น 3.5x3.5 เมตร ก็ได้ แต่ละหลุมปลูกควรจะปลูก 2-3 ต้น เพื่อคัดต้นตัวผู้ทิ้ง (ซึ่งพบน้อยมาก) แต่ถ้าจะปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ ควรจะคัดต้นตัวเมียทิ้งด้วย แต่สำหรับเกษตรกรที่ปลูกเพื่อผลิตเป็นมะละกอดิบขาย ไม่จำเป็นต้องตัดต้นตัวเมียทิ้ง เนื่องจากทรงผลจะออกยาว ไม่กลมเหมือนกับมะละกอพันธุ์แขกนวล หรือพันธุ์แขกดำ

สภาพดินปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง ถ้าเป็นดินร่วนปนทราย เกษตรกรไม่ควรขุดหลุมปลูกให้มีความลึกเกิน 30 เซนติเมตร แต่ควรจะขุดหลุมให้กว้างๆ เพราะเมื่อมีการให้น้ำดินจะยุบตัวทำให้หลุมปลูกระบายน้ำไม่ได้ ผลที่ตามมาจะทำให้โคนและรากมะละกอเน่าได้ เกษตรกรที่ไม่ต้องการให้ต้นมะละกอพันธุ์ครั่งสูงควรจะโน้มต้นลงเพื่อป้องกันการหักล้มในช่วงที่มีการติดผลดก ในสภาพพื้นที่ปลูกที่อยู่ในพื้นที่สูงและมีสภาพลมแรงไม่มีไม้บังลม เกษตรกรจำเป็นจะต้องโน้มต้นลง เมื่อต้นมะละกอมีอายุได้ 1 เดือน เกษตรกรที่ปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งควรจะคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้า หลังจากต้นมะละกอมีอายุได้ 1 เดือน เริ่มใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 หรือ 19-19-19 ใส่ให้ต้นละ 50-100 กรัม ทุกๆ 15 วัน ต้นมะละกอครั่งจะเริ่มออกดอกเมื่อต้นมีอายุได้ประมาณ 3 เดือน ในช่วงนี้ควรจะเปลี่ยนสูตรปุ๋ยเคมีจากสูตรเสมอมาใช้สูตร 13-13-21 โดยใส่เป็นประจำทุก 15 วันเช่นกันในอัตราต้นละ 50-100 กรัม ปัจจุบันราคาปุ๋ยเคมีมีราคาแพงมากขึ้น เกษตรกรอาจจะสลับมาใส่ปุ๋ยคอกสลับบ้าง เช่น ปุ๋ยขี้ไก่ โดยใส่ปุ๋ยเคมีเหลือเพียงเดือนละ 1 ครั้ง ก็พอ และใส่ให้ต้นละประมาณ 1 กำมือ

อย่างไรก็ตาม น้ำจัดเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง ตั้งแต่เริ่มลงหลุมปลูกจนเก็บเกี่ยวผลดิบขาย อย่าปล่อยให้ต้นมะละกอขาดน้ำ จะมีการติดตั้งระบบการให้น้ำแบบมินิสปริงเกลอร์ต้นละ 1 หัว ก็ได้หรืออาจจะให้น้ำแบบปล่อยตามร่องจะให้ 3-5 วัน ต่อครั้ง ก็ได้ หลังจากที่ลงหลุมปลูกแล้วถ้าเป็นไปได้ใต้ต้นมะละกอทุกต้นควรจะคลุมด้วยฟางข้าวเพื่อลดปริมาณวัชพืชและช่วยรักษาความชื้นในดิน ในทางปฏิบัติการใช้สารป้องกันและกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกมะละกอยังมีข้อจำกัดและเกษตรกรจะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้แต่สารในกลุ่มไกลโฟเสตก็ตามอาจจะมีผลข้างเคียงกับต้นมะละกอพันธุ์ครั่งได้



ความแตกต่างระหว่างการปลูกมะละกอพันธุ์ครั่ง

หลุมละ 1 ต้น และ 2 ต้น

จากที่ได้กล่าวในข้างต้นว่า ในการคัดเลือกต้นมะละกอพันธุ์ครั่งเมื่อเริ่มมีการออกดอกและติดผล ให้คัดต้นตัวผู้ทิ้งเท่านั้น ซึ่งมีน้อยมาก ต้นตัวเมียถึงแม้จะให้ลูกกลมแต่ก็กลมไม่มาก และมีความยาวของผลพอสมควร ขายเป็นมะละกอดิบเพื่อทำส้มตำได้ การปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งเพียงหลุมละ 1 ต้น จะได้ต้นมะละกอที่มีลำต้นที่อวบอ้วน ขนาดของผลจะใหญ่และสมบูรณ์มาก ในขณะที่ปลูกหลุมละ 2 ต้น ถึงแม้ต้นจะยังคงความสมบูรณ์ แต่ขนาดของลำต้นเล็กกว่า เนื่องจากแย่งอาหารกัน มีผลทำให้ผลมะละกอมีขนาดเล็กเรียวยาวและน้ำหนักผลน้อยกว่า แต่เป็นข้อดีตรงที่ผลมะละกอดิบไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นชื่นชอบของกลุ่มผู้ซื้อไปทำส้มตำเอง บริโภคเองในครัวเรือน



เทคนิคการทำสาวมะละกอพันธุ์ครั่ง

มะละกอพันธุ์ครั่ง จะให้ผลผลิตและเก็บจำหน่ายผลดิบหลังจากที่ย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลง 5-6 เดือน จากการสังเกตลักษณะของการออกดอกและติดผลของมะละกอสายพันธุ์นี้คือ ในช่วงเดือนที่ 9 หลังจากปลูกลงดิน ผลผลิตจะหมดในรุ่นแรกหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหมดคอแรก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะเหมาะเป็นอย่างยิ่งในการตัดต้นมะละกอพันธุ์ครั่งแล้วเลี้ยงยอดใหม่ หรือเรียกว่าวิธีการทำสาว หลังจากตัดต้นทำสาวเพียง 3 เดือน เท่านั้น ยอดใหม่ของมะละกอพันธุ์ครั่งจะเริ่มออกดอกและเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ในเวลาต่อมา ข้อดีของการทำสาวมะละกอพันธุ์ครั่งจะทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตง่าย เพราะมะละกอจะมีต้นเตี้ยเหมือนกับต้นที่ปลูกใหม่และส่งผลต่อการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้น การทำสาวมะละกอจะยังคงรักษาพันธุ์เดิมไม่มีการกลายพันธุ์ ถ้าปลูกบริโภคในครัวเรือนไม่ต้องปลูกใหม่ทุกปี

สำหรับเกษตรกรที่ปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งในเชิงพาณิชย์สามารถกำหนดการให้ผลผลิตได้โดยวิธีการทำสาว สามารถกำหนดให้มะละกอมีจำหน่ายได้ในช่วงหน้าแล้ง (ในช่วงฤดูแล้งราคามะละกอดิบจะมีราคาแพงที่สุด) คือตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาจนถึงเทศกาลสงกรานต์ ในช่วงเวลาดังกล่าวบางปีราคามะละกอดิบขายจากสวนมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 8-15 บาท โดยเกษตรกรนับถอยหลังกลับไปราว 4-5 เดือน และตัดต้นมะละกอทำสาวในช่วงเวลานั้น เช่น จะให้ต้นมะละกอพันธุ์ครั่งให้ผลผลิตขายได้ในเดือนมกราคม ให้ตัดต้นมะละกอเพื่อทำสาวในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นต้น



วิธีการทำสาวมะละกอพันธุ์ครั่ง

แนะนำให้เกษตรกรตัดต้นมะละกอพันธุ์ครั่งสูงจากพื้นดิน 50 เซนติเมตร เหตุผลที่จะต้องตัดที่ความสูงระดับนี้เผื่อเอาไว้ให้ลำต้นมะละกอจะต้องผุเปื่อยเน่าลงมาอีกประมาณ 1 คืบมือ หลังจากตัดต้นมะละกอแล้วไม่จำเป็นจะต้องทายาเชื้อราหรือปูนแดง เนื่องจากลำต้นมะละกอจะผุเปื่อยลงไปจนถึงจุดที่ยอดตาใหม่จะแตกออกมา เกษตรกรอาจจะสงสัยว่าเมื่อตัดต้นมะละกอแล้วจำเป็นจะต้องเอาถุงพลาสติคมาคลุมต้นมะละกอเพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่จะทำให้ต้นเน่าได้หรือไม่ ความจริงแล้วถ้าเกษตรกรใช้ถุงพลาสติคคลุมมาคลุมรอยแผลจะทำให้ต้นเน่าได้ง่ายขึ้น เนื่องจากน้ำที่ระเหยจากลำต้นจะไปเกาะติดที่พลาสติคจนน้ำขังภายในลำต้น ไม่มีการระบายน้ำออก จะส่งผลให้ลำต้นเน่าแต่ถ้าตัดต้นแล้วปล่อยไว้ตามธรรมชาติไม่ต้องทำอะไร เมื่อมีฝนตกลงมาและมีน้ำขังอยู่ที่บริเวณรอยแผล น้ำจะแห้งหรือระเหยไปเองเพราะจะโดนแดด โดนลม แต่เกษตรกรจะต้องเจาะรูเพื่อให้น้ำมีทางระบายออกจากลำต้นด้วย

หลังจากที่ตัดต้นทำสาวมะละกอพันธุ์ครั่งเสร็จ แนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 หรือสูตรที่ไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 32-10-10 พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยคอกเก่าบำรุงต้นไปพร้อมกัน และมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อเร่งให้ต้นมะละกอแตกยอดออกมาใหม่ เมื่อมีการแตกยอดออกมาจำนวนมากให้คัดเลือกยอดมะละกอพันธุ์ครั่งที่มีความสมบูรณ์ไว้เพียงยอดเดียวเท่านั้นและจะต้องหมั่นเด็ดยอดที่ไม่ต้องการออกให้หมด เพื่อไม่ให้เจริญเติบโตแข่งกัน หลังจากที่เลี้ยงยอดไปนานประมาณ 3 เดือน จะเริ่มออกดอกและติดผล

ปัจจุบัน "ส้มตำ" เป็นอาหารหลักของคนอีสาน และเป็นอาหารที่ได้เผยแพร่ไปทั่วทุกภาคของประเทศ นอกจากนั้น ยังแพร่หลายกลายเป็นอาหารที่คนต่างชาติรู้จักกันมากขึ้น คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักมะละกอพันธุ์ครั่ง วิธีสังเกตด้วยสายตาง่ายๆ คือจะมีร่องที่ผล เมื่อซื้อไปทำส้มตำแล้วล้วนแต่ประทับใจในความอร่อยและกรอบกว่ามะละกอสายพันธุ์อื่นๆ สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งในเชิงพาณิชย์มีตัวอย่างเกษตรกรที่ จังหวัดเพชรบูรณ์ คือ คุณยุพิน บั้งทอง เริ่มปลูกมะละกอพันธุ์ครั่งในพื้นที่เพียง 2 ไร่ หลังจากที่ปลูกต้นกล้าลงดินไปนานประมาณ 5 เดือน เท่านั้น เก็บมะละกอดิบขายได้มากถึง 5,000 กิโลกรัม



หนังสือ "ครั่ง" มะละกอไทยพันธุ์ใหม่เพื่อทำส้มตำ พิมพ์ 4 สี มีแจกฟรีพร้อมกับ หนังสือ "เทคนิคการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์" รวม 120 หน้า เกษตรกรและผู้สนใจเขียนจดหมาย สอดแสตมป์ 50 บาท ส่งมาขอได้ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/395 ถนนศรีมาลา ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร 66000 โทร. (056) 613-021, (056) 650-145 และ (081) 886-7398


บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3004


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2008, 04:57:46 PM »

ไปพบมาอีกสายพันธ์มะละกอเรดเลดี้ สามเงา ผลิตกันเป็นกลุ่มก้อน ตลาดไปได้ ทั้งโรงงานและกินสุกรอยต่อระหว่างจังหวัดตากไปลำปาง สองข้างทาง ดูไม่ร่มรื่นนัก โดยเฉพาะที่อำเภอสามเงา ทั้งนี้เป็นเพราะอยู่ในอิทธิพลของเงาฝน

กระนั้นก็ตาม เมื่อเลี้ยวลึกเข้าไปตามซอกซอย จะเห็นแปลงปลูกฝรั่ง กล้วยไข่ รวมทั้งมะละกอ เกษตรกรอาศัยความอุดมสมบูรณ์ที่แม่น้ำวังไหลผ่าน สำหรับทำการเกษตร

มะละกอที่ปลูกกัน ทำรายได้ให้ดี โดยเฉพาะพันธุ์เรดเลดี้

คุณสมจิตต์ บุญมาวงศ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายเขตภาคเหนือ บริษัท เพื่อนเกษตรกร จำกัด ให้ข้อมูลว่า พื้นที่ปลูกมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช กระบี่ และจังหวัดอื่นๆ



ลักษณะประจำพันธุ์

"เรดเลดี้"

มะละกอของ บริษัท เพื่อนเกษตรกร จำกัด ที่ได้รับความนิยมมีอยู่หลายสายพันธุ์

เรดเลดี้ เป็นสายพันธุ์หนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จุดเด่นคือให้ผลผลิตเร็ว ลำต้นสูง 60-80 เซนติเมตร ก็เริ่มให้ผลผลิตแล้ว ผลผลิตมากกว่า 40-50 ผล ต่อต้น ต้านทานไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคใบด่างวงแหวนได้ดี

ผลที่เกิดจากดอกตัวเมียจะมีลักษณะกลม-สั้น เนื้อสีส้มแดง ผลที่เกิดจากดอกกะเทย ผลมีลักษณะยาว เนื้อหนา น้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม

เมื่อสุก มะละกอเรดเลดี้มีกลิ่นหอม ความหวาน 13 องศาบริกซ์

ผลสุกทนทานต่อการขนส่ง

คุณสมจิตต์ บอกว่า ผู้ปลูกมะละกอเรดเลดี้ ปัจจุบันส่งโรงงานและส่งตลาดกินสุก อย่างที่จังหวัดกระบี่ และนครศรีธรรมราช เมื่อมีผลผลิตนำส่งโรงแรมแถบจังหวัดภูเก็ตและหาดใหญ่ หากผลผลิตไม่สวยส่งเข้าโรงงานแปรรูป

เมล็ดพันธุ์ที่ซื้อขายปัจจุบัน กิโลกรัมละ 145,000 บาท ปลูกได้ 200 ไร่ ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะบรรจุซอง ซองละ 5 กรัม มีราว 380-480 เมล็ด ปลูกได้ในพื้นที่ 1 ไร่



พบเกษตรกรผู้ปลูก

คุณนรินทร์ นบนอบ เกษตรกรอยู่บ้านเลขที่ 102 หมู่ที่ 10 ตำบลยกกระบัตร อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ปลูกมะละกอในพื้นที่ 8 ไร่

เจ้าตัวบอกว่า เดิมเป็นลูกจ้าง ต่อมาเถ้าแก่ลงทุนให้ พื้นที่ 8 ไร่ ลงทุนหมื่นเศษๆ เป็นค่าไถที่ เมล็ดพันธุ์ รวมทั้งปุ๋ย

วิธีปลูกมะละกอเรดเลดี้ เริ่มจากไถดิน แล้วยกแปลงกว้าง 3 เมตร ระหว่างแปลงเป็นร่องน้ำกว้างราว 50 เซนติเมตร จากนั้นปลูกมะละกอลงไปที่สันร่อง ใช้ระยะระหว่างต้นระหว่างแถว 1.50-2 เมตร เมื่อหักพื้นที่บางส่วนออกไป 1 ไร่ ปลูกได้ราว 300 ต้น

ต้นกล้าที่ปลูกใช้เวลาเพาะราว 1 เดือน เมื่อปลูกไปแล้ว 8 เดือน สามารถเก็บผลผลิตได้

การดูแลรักษานั้น คุณนรินทร์ บอกว่า ใช้ปัจจัยการผลิตไม่มาก ปุ๋ยเริ่มใส่ให้เมื่อปลูกไปแล้ว 2 เดือน เป็นสูตร 15-15-15 จำนวนต้นละ 1 กำมือ

"มะละกอที่ปลูก เก็บได้จนอายุ 2 ปี รวมแล้วเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม ต่อต้น ลูกหนึ่งมีตั้งแต่ 5 ขีด ถึง 2 กิโลกรัม ตั้งแต่ที่ทำมา ราคาต่ำสุด 2 บาท สูงสุด 8 บาท ผมว่าปลูกแล้วมีรายได้ดี เก็บทุกๆ 7 วัน มะละกอส่งโรงงาน กิโลกรัมละ 2 บาท หากคัดผลผลิตแล้วห่อเป็นมะละกอกินสุก กิโลกรัมละ 5 บาท ดีนะผมว่าใช้ได้"

คุณนรินทร์บอก และเล่าต่ออีกว่า

"ผมเป็นคนอยุธยา มาได้แฟนอยู่ที่นี่ 20 ปีแล้ว ผมเก็บเดือนกว่าๆ ได้ 60,000 บาท ไม่ค่อยได้พ่นยา เพราะเราเก็บบ่อย เรดฯ รสชาติดี หวาน ผมกินประจำ ทำส้มตำได้"



ล้งมะละกอ

คุณจรัส และ คุณศิริพักตร์ จันทบุรี อยู่บ้านเลขที่ 171/4 หมู่ที่ 3 ตำบลยกกระบัตร อำเภอสามเงา จังหวัดตาก เริ่มสนใจปลูกมะละกอเรดเลดี้มาตั้งแต่ปี 2548 เดิมครอบครัวนี้ปลูกข้าวโพดแป้ง (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ข้าวโพดหวาน กล้วยไข่

คุณจรัส เล่าว่า ตนเองอ่านพบในหนังสือ ทราบว่ามะละกอเรดเลดี้ให้ผลผลิตดี ต้านทานโรค จึงขึ้นไปซื้อเมล็ดพันธุ์โดยตรงที่เชียงใหม่ นำมาปลูกเฉพาะของตนเอง 10 ไร่ รวมของพี่ๆ น้องๆ ด้วย เป็น 30 ไร่ เมื่อเริ่มเก็บผลผลิตได้ 2 เดือน ได้เงิน 400,000 บาท ปรากฏว่าน้ำท่วม เสียหายหมด

เมื่อได้ทดลองปลูกและมีความมั่นใจ ปีต่อๆ มา คุณจรัสและคุณศิริพักตร์จึงนำเมล็ดพันธุ์มาปล่อยให้เกษตรกรแถบนั้นปลูก พร้อมกับรวบรวมผลผลิตส่งต่อให้กับผู้ซื้ออีกทีหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็น "ล้ง" นั่นเอง ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกในกลุ่มของคุณจรัสและคุณศิริพักตร์ รวมแล้วมีประมาณ 300 ไร่ เกษตรกรที่ปลูกมีพื้นที่ตั้งแต่ 3-10 ไร่

คุณศิริพักตร์ พูดถึงตลาดมะละกอเรดเลดี้ว่า ราว 70 เปอร์เซ็นต์ ของผลผลิตส่งโรงงาน บริษัทรับซื้อเข้าไปทำผลไม้รวมและมะละกออบแห้ง ที่เหลือส่งตลาดมะละกอสุก ซึ่งจะคัดผลสวย ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ การห่อนี้ ห่อหลังจากเก็บผลผลิตแล้ว ที่ผ่านมาตลาดไม่ค่อยยอมรับมะละกอที่เกิดจากดอกตัวเมีย ซึ่งผลกลม แต่ปัจจุบันยอมรับกันแล้ว เพราะรสชาติไม่แตกต่างกัน ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรแถบยกกระบัตรไม่สูงนัก บางราย 8 ไร่ ลงทุนราว 14,000 บาท เท่านั้น

ระหว่างปี ทางเจ้าของล้งบอกว่า มะละกอมีมากเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลก ช่วงนี้มะละกอราคาดี ช่วงที่มะละกอมีน้อยเดือนเมษายน ราคากลับไม่ดี ทั้งนี้เป็นเพราะโรงงานซื้อมะละกอน้อย เขาซื้อมะม่วงไปแปรรูป จากนั้นก็เป็นช่วงของเงาะ

"ตอนนี้โรงงานมารับไป 10 ราย มะละกอกินสุก 6 ราย มาจากตลาดไท สี่มุมเมือง เชียงใหม่ ราชบุรี ขอนแก่น มาครั้งหนึ่งก็ 3 ตัน ต่อคัน มะละกอโรงงานถ้าเราซื้อ 3 บาท ส่ง 4 บาท มะละกอกินสุก ถ้าซื้อ 5 บาท ขาย 6 บาท ได้ 1 บาท เป็นค่าการจัดการ" คุณจรัส บอก

"ช่วงที่มะละกอมีน้อย เดือนเมษายน อาทิตย์ละ 3-5 ตัน แต่ช่วงมีมากๆ วันหนึ่งเป็น 10-20 ตัน" คุณศิริพักตร์ พูดถึงการซื้อขายมะละกอ

คุณสมจิตต์ บอกว่า ราคามะละกอมีขึ้นมีลง อย่างกินสุก หากเกษตรกรขายได้กิโลกรัมละ 6-8 บาท เกษตรกรก็พอใจแล้ว ส่วนมะละกอโรงงานที่ผ่านมาถือว่าพอใช้ได้

แนวทางการผลิตมะละกอเรดเลดี้ของเกษตรกรแถบอำเภอสามเงา ปัจจัยการผลิตเหมาะสม อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูง

ผู้สนใจอยากปลูกมะละกอเรดเลดี้ ถามไถ่กันได้ที่เกษตรกร ตามที่อยู่ หรือโทร. (087) 803-4775

ส่วนผู้อ่านที่อยากทราบว่า ตนเองอยู่จังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ปลูกได้ไหม สอบถามได้ที่ คุณสมจิตต์ บุญมาวงศ์ บริษัท เพื่อนเกษตรกร จำกัด เลขที่ 43 ถนนราชพฤกษ์ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300 โทร. (053) 211-773, (053) 211-810, (053) 217-180 หรือ (087) 759-5181



ปลูกมะละกอเรดเลดี้ ให้ได้ผลดี

มะละกอ (Papaya) อยู่ในตระกูล Caricaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carica papaya

สภาพภูมิอากาศ

มะละกอ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศทุกสภาพ และดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขังจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า แต่ถ้าเป็นดินเหนียวควรปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย และระบายน้ำให้ดีเสียก่อน ความเป็นกรดด่างของดินอยู่ระหว่าง 6.0-6.8

การเพาะกล้า

การเพาะเมล็ดลงในกระบะทราย วิธีการโดยเตรียมกระบะไม้หรือกระบะพลาสติค ขนาด 40x60x10 เซนติเมตร (กว้างxยาวxสูง) ที่มีรูระบายน้ำด้านล่าง รองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์หนึ่งชั้น ใส่ทราย (ทรายก่อสร้างที่ร่อนเอาเศษหินและไม้ออกแล้ว) ความหนา ประมาณ 2-3 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม ทำร่องลึก 1 เซนติเมตร ห่างกันแถวละ 5 เซนติเมตร โรยเมล็ดลงไป (เมล็ดควรจะคลุมด้วยยาออร์โธไซด์) จากนั้นกลบร่อง ใช้เศษฟางข้าวที่สะอาดปิดคลุมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากเมล็ดเริ่มงอก 3-5 วัน ให้รีบเอาฟางข้าวออก หลังจากหยอดเมล็ดได้ 10-14 วัน ต้นกล้ามีใบเลี้ยง 2 ใบ ให้ถอนย้ายลงปลูกในถุงดินหรือในถาดเพาะต่อไป การรดน้ำในช่วงการเพาะเมล็ดนี้จำเป็นต้องใช้บัวที่มีฝอยละเอียด และรดทุกวันอย่าให้ทรายแห้งเป็นอันขาด

การย้ายกล้าลงในถุงดิน

การย้ายกล้าลงในถุงดิน ให้เตรียมถุงดินโดยใช้ถุงพลาสติค ขนาด 4x4 นิ้ว หรือ 4x6 นิ้ว เจาะรูตรงมุมด้านล่างทั้ง 2 ข้าง เพื่อระบายน้ำ ดินผสมที่ใช้ประกอบด้วย ดิน 3 ปุ้งกี๋ ขี้วัวเก่า 1 ปุ้งกี๋ ปุ๋ยสูตร 0-46-0 1 กำมือ คลุกเคล้าให้เข้ากันและกรอกลงในถุงดิน นำถุงดินไปวางเรียงบนแปลงขนาดกว้าง 1.2 เมตร (เรียงได้ 10-15 ถุง) เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงานและการคลุมต้นกล้า เพื่อป้องกันแสงแดดและฝน จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม นำต้นกล้ามะละกอที่ถอนจากกระบะทรายลงปลูกถุงละ 1 ต้น การย้ายกล้าควรกระทำในตอนเย็นหรือขณะที่แสงแดดน้อย หลังการย้ายกล้าให้รดน้ำตามอีกหนึ่งรอบ ทำหลังคาคลุมด้วยวัสดุที่พลางแสง ทิ้งไว้ 3-4 วัน พอต้นกล้าเริ่มติดและตั้งตัวแข็งแรงก็เริ่มเปิดที่พลางแสงออก แต่ทุกเย็นหรือขณะฝนตกต้องคลุมแปลงกล้าด้วยพลาสติคใสเพื่อป้องกันฝน ควรรดน้ำต้นกล้าทุกวัน และฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชเมื่อแมลงมารบกวน ประมาณ 25-30 วัน ก็สามารถย้ายต้นกล้าลงปลูกในแปลงได้

การย้ายกล้าลงในถาดเพาะกล้า

ให้ใช้ถาดเพาะกล้าพลาสติคสีดำ ที่มีจำนวน 104 หลุม ใส่มีเดีย (วัสดุใช้แทนดิน) ลงให้เต็มช่องหลุมแล้วปรับให้เรียบ รดน้ำให้ชุ่ม นำต้นกล้าที่ถอนออกจากกระบะทรายลงปลูกให้เต็มถาดเพาะ จะเห็นว่าวิธีการใช้ถาดเพาะกล้านี้ง่ายและสะดวก สามารถทำในที่ร่มและเก็บไว้ในที่ร่ม 3-4 วัน แล้วจึงย้ายไปวางเรียงในแปลงกลางแจ้งและทำหลังคาคลุมพลาสติคเพื่อป้องกันฝนตก ดูแลเหมือนวิธีแรก ประมาณ 25-30 วัน ก็สามารถย้ายลงปลูกได้ วิธีนี้จะช่วยในการขนย้ายต้นกล้าไปยังแปลงปลูกได้สะดวกกว่า

การเตรียมแปลงปลูกและการย้ายปลูก

มะละกอ เป็นพืชที่มีระบบรากลึกและกว้าง ควรไถดินให้ลึก ใช้ระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 2-2.5 เมตร ความยาวแล้วแต่พื้นที่ ขุดร่องเป็นรูปตัววี ลึกประมาณหนึ่งหน้าจอบ รองพื้นด้วยปุ๋ยคอก อัตรา 500-1,000 กิโลกรัม ต่อไร่ ฟูราดาน อัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อไร่ สารบอแรกซ์ อัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อไร่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยโรยลงในร่องตัววี แล้วกลบยกเป็นแปลงนูนรูปโค้งหลังเต่า สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร คลุมด้วยพลาสติคสีบรอนซ์หรือคลุมด้วยฟางข้าว จากนั้นกำหนดระยะปลูกโดยใช้ระยะห่างระหว่างต้น 1.5-2.0 เมตร แล้วขุดหลุมปลูก รดน้ำหลุมให้ชุ่ม จากนั้นย้ายต้นกล้าลงปลูก ในหลุมปลูกรดน้ำตามอีก 1 รอบ การปลูกระวังอย่าปลูกลึกเกินไปอาจทำให้ต้นกล้าตายได้

การดูแลรักษา

1. การใส่ปุ๋ย

ครั้งที่ 1 ใส่ปุ๋ยรองพื้นขณะเตรียมแปลง สูตร 15-15-15 อัตรา ประมาณ 50 กิโลกรัม ต่อไร่

ครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา ประมาณ 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยการโรยข้างต้น ห่างโคนต้น 30-40 เซนติเมตร แล้วกลบโคนต้น หลังย้ายปลูกประมาณ 1 เดือน

ครั้งที่ 3 หลังจากปลูกประมาณ 3-4 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 14-14-21 หรือ 13-13-21 อัตรา ประมาณ 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่ ผสมกับปุ๋ยคอก เช่น ขี้ไก่ อัตราประมาณ 500 กิโลกรัม ต่อไร่ โดยการโรยที่ร่องแปลงแล้วกลบโคนต้นหรือจะฝังระหว่างต้นก็ได้

2. การให้น้ำ

ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพออย่าให้ขาดน้ำ เพราะถ้ามะละกอขาดน้ำต้นอาจจะชะงักการเจริญเติบโต ไม่ติดดอกออกผล การให้น้ำมะละกอไม่ควรให้น้ำแฉะเกินไป เพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำมาก แต่ขาดน้ำไม่ได้

3. การพรวนดินกำจัดวัชพืช

ควรมีการพรวนดินและกำจัดวัชพืช ในช่วงแรกอย่าให้วัชพืชรบกวน และต้องมีการกลบโคนต้นในช่วงหลังปลูกประมาณ 1 เดือน

4. การทำไม้หลัก

เนื่องจากมะละกอเป็นพืชที่มีลำต้นค่อนข้างอวบ ให้ผลผลิตและมีน้ำหนักมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำหลักเพื่อพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม

5. การไว้ผลและการตัดแต่ง

การปลูกมะละกอถ้าจะให้ได้คุณภาพผลผลิตที่ดี ควรปลิดผลที่ไม่สมบูรณ์ทิ้ง เพราะนอกจากจะแย่งอาหารแล้ว ยังทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพ



การเก็บเกี่ยวและการขนย้าย

มะละกอ สามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งผลดิบและผลสุก แล้วแต่ความต้องการของตลาด ถ้าต้องการผลดิบสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 5-6 เดือน แต่ถ้าเก็บผลสุก หลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ควรเลือกเก็บเกี่ยวผลที่กำลังเริ่มสุกมีสีส้มหรือเหลืองปนเขียว ขณะที่ผลที่ไม่นิ่มหลังจากเก็บเกี่ยวควรห่อผลด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เพื่อรักษาผิวของผลมะละกอไม่ให้ช้ำและเสียหายได้

ศัตรูและการป้องกันกำจัด

ไรแดง เป็นศัตรูของมะละกอ ลักษณะการทำลายโดยการดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของมะละกอ เช่น ใบ ผล ดอกหรือส่วนอ่อนๆ ของพืช มักจะระบาดในช่วงที่มีอากาศร้อนและแห้ง

การป้องกันกำจัด

- เมื่อมีการระบาด ให้ตัดหรือเก็บส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยของไรแล้วเผาทำลาย

- ทำลายพืชอาศัยบริเวณข้างเคียง

- ใช้สารเคมีประเภทฆ่าไร เช่น อะคาร์ เคลเทน ไดฟอน และไอไมท์ ใช้ตามคำแนะนำของยาชนิดนั้นๆ โดยฉีดพ่นหรือใช้กำมะถันผงฉีดพ่น

เพลี้ยไฟ เป็นศัตรูที่สำคัญของมะละกออีกชนิดหนึ่งที่มีลำตัวขนาดเล็ก เคลื่อนไหวไวมาก ทำลายโดยการดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของพืชและเป็นพาหนะของเชื้อไวรัส มักจะระบาดช่วงที่มีอากาศร้อนในฤดูแล้ง

การป้องกันกำจัด เนื่องจากเพลี้ยไฟเป็นแมลงที่มีการเคลื่อนไหวเร็วและสามารถสร้างความต้านทานต่อยาฆ่าแมลง ดังนั้น การใช้สารเคมีกำจัดจึงต้องเปลี่ยนชนิดของยาอยู่เสมอ ไม่ควรใช้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ยาที่ใช้ได้ผลคือ ไดเมทโซเอท คาร์โบซัลแฟน โดยใช้ตามคำแนะนำของยาชนิดนั้นๆ

เพลี้ยอ่อน เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะการทำลายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนอ่อนของต้นมะละกอ เช่น ใบอ่อน ยอดอ่อน ดอกหรือส่วนอ่อนของลำต้น เพลี้ยอ่อนเป็นพาหนะของเชื้อไวรัส เช่น โรคใบด่าง ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงของมะละกอ

การป้องกันกำจัด โดยการทำลายพืชอาศัยหรือโดยการทำลายมดซึ่งเป็นตัวพาหะให้เพลี้ยอ่อนไประบาด ใช้สารเคมี ป้องกันกำจัด เช่น ฉีดพ่นด้วยยาพวกคาร์โบซัลแฟน มาลาไธออน โดยใช้ตามคำแนะนำของยาชนิดนั้นๆ

โรคของมะละกอ

โรคใบด่าง สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีเพลี้ยอ่อนเป็นพาหะ หรือโดยการสัมผัสต้นที่เป็นโรคไปยังต้นที่ยังไม่เป็นโรค

ลักษณะอาการ เริ่มแรกใบยอดเหลืองซีด มีเส้นใบหยาบหนา ต่อมาแผ่นใบจะด่างเป็นคลื่น เขียวเข้มสลับเขียวอ่อนมองเห็นชัดเจน ใบมีขนาดเล็กม้วนงอ ใบหด ถ้าเป็นกับต้นอ่อนมะละกอจะแคระแกร็น ใบล่างเหลืองและร่วงหล่น ส่วนยอดจะโกร๋นเมื่อเป็นอย่างรุนแรง แต่ถ้าเป็นมะละกอที่โตแล้ว การผสมของดอกจะไม่ติด หรือผลที่ติดแล้วจะมีลักษณะอาการด่างเป็นจุดดวงแหวนทั่วทั้งผล ผิวเป็นจุดรอยช้ำๆ

การป้องกัน

- หมั่นตรวจแปลงปลูก ถ้าพบต้นที่เป็นโรคก็ให้รีบทำลาย โดยการถอนทำลายนำไปเผาไฟหรือฝังให้ลึก

- กำจัดแมลงที่เป็นพาหะของโรค เช่น เพลี้ยอ่อนและกำจัดพืชอาศัย เช่น วัชพืชที่อยู่รอบๆ แปลงปลูก

โรคเน่าของต้น สาเหตุเกิดจากเชื้อรา โรคนี้มักระบาดอย่างรุนแรงในช่วงที่อากาศร้อน อุณหภูมิสูงและความชื้นในบรรยากาศสูง เช่น ช่วงฤดูฝนหรือการให้น้ำในแปลงปลูกมากเกินไป มักจะระบาดในช่วงของต้นกล้าและหลังการย้ายปลูก

ลักษณะอาการ ใบจะเหลืองซีดและร่วงหล่นเหลือแต่ส่วนยอด บริเวณรากเกิดอาการเน่าและบริเวณโคนต้นที่ติดกับผิวดินจะเน่า ต้นจะหักล้ม ต้นมีลักษณะฉ่ำน้ำ เน่าเป็นสีน้ำตาลถึงดำ

การป้องกันกำจัด

- ระวังอย่าให้น้ำมะละกอมากเกินไป ทั้งในระยะต้นกล้าและต้นโต

- ไม่ควรให้ปุ๋ยประเภทไนโตรเจนมากเกินไป เพราะจะทำให้ลำต้นอวบ เปราะ และหักง่าย

- เตรียมดินให้ร่วนซุย ยกแปลงปลูกให้สูงทำทางระบายน้ำให้ดีอย่าให้น้ำท่วมขัง

บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!