เพาะปลาคาร์ฟ
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
เมษายน 24, 2024, 01:09:35 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เพาะปลาคาร์ฟ  (อ่าน 67211 ครั้ง)
ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18651


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« เมื่อ: กันยายน 30, 2008, 10:44:59 PM »

ลองมาเพาะปลาคาร์ฟกันเล่นๆเถอะ

      ประเทศไทย ได้เริ่มมีการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ฟ ซึ่งนำมาจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2493 จากนั้นก็มีผู้สั่งปลาเข้ามาเลี้ยงกันมากมายในราคาที่ค่อนข้างสูงได้มีการศึกษาและทดลองเพาะพันธุ์จนประสบความสำเร็จ ยังผลให้การสั่งเข้าปลาแฟนซีคาร์ฟลดลง และปลาในประเทศที่มีคุณภาพดีได้รับความนิยมมากขึ้นจนแพร่หลายดังเช่นปัจจุบันปลาแฟนซีคาร์ปจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูกาลที่แตกต่างกันแล้วแต่สถานที่ที่ปลาอาศัยอยู่ ฤดูวางไข่ของปลาเหล่านี้ในประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่น ส่วนในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธุ์เป็นช่วงฤดูหนาว ปลาจะไม่เจริญเติบโตและไม่สืบพันธุ์ สำหรับประเทศไทยนั้นปลาแฟนซีคาร์ฟสามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนซึ่งพ่อแม่ปลามีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ การที่จะเพาะปลาคาร์ฟจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆดังนี้

1.คุณภาพของปลาที่จะเป็นพ่อแม่ รูปทรงและสีสันของปลาที่ดีจะต้องได้มาจากสายพันธุ์ พันธุกรรมของพ่อแม่ที่ดี หรือเรียกว่า สายพันธุ์นิ่ง คือพ่อแม่พันธุ์หน้าตาเป็นอย่างไร ลูกที่ออกมามักจะได้แบบนั้นเป็นส่วนใหญ่ ปลาที่มีสายพันธุ์ไม่บริสุทธิ์ดูง่ายๆคือ เวลาออกลูกมาแล้วมีหน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่พันธุ์เลย

2.เพศของปลา ต้องรู้ว่าตัวไหนผู้ ตัวไหนเมีย ปลาตัวเมียจะตัวอ้วนๆสั้นๆ ครีบอกจะเล็กเมื่อเทียบกับสัดส่วนลำตัว ตัวผู้ผอมยาว ครีบอกใหญ่กว้างกว่า ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้ที่แข็งแรงพร้อมที่จะทำงานจะมีตุ่มเล็กๆใสๆที่บริเวณหัวและครีบอก เวลาจับคู่มักใช้ตัวเมีย 1 ตัวกับตัวผู้ 2 ตัว เพราะตัวเมียจะมีไข่มาก ตัวผู้จะได้ปล่อยน้ำเชื้อผสมกับไข่ได้ทัน

3.อายุของปลา พ่อแม่พันธุ์ใช้อายุ 4-5 ปี ลำตัวยาวมากกว่า 10-12 นิ้ว ปลาอายุน้อยจะมีเปลือกไข่บาง เมื่อผสมแล้วไข่มักจะเสียก่อนฟักเป็นตัว ปลาแก่เกินไปเปลือกไข่หนา สเปิร์มเจาะเข้าไปไม่ได้

4.ฤดูกาลผสมพันธุ์ จะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูฝน ประเทศไทยจะได้เปรียบกว่าญี่ปุ่นเพราะประเทศไทยเราร้อนนานกว่าผสมได้นาน ฤดูหนาวญี่ปุ่นจะไม่ได้ทำการเพาะเลย บ้านเรามีอุณหภูมิที่เหมาะสม

5.บ่อผสมพันธุ์ กักน้ำประปาทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ให้คลอรีนสลายตัวให้หมด จะได้น้ำสะอาดไม่มีเชื้อโรค เอาเชือกฟางมาทำเป็นพู่ แล้วผูกติดกับท่อให้จมน้ำ ปลาจะไข่ติดกับเชือกฟาง เอาหัวทรายที่ต่อจากปั๊มลมใส่ลงไปในน้ำมีออกซิเจนมากๆ อย่าใช้ปั๊มแบบดูดน้ำพ่น เพราะจะดูดไข่และลูกปลาตายหมด

6.การปล่อยผสม เอาปลาที่ท้องป่อง 2 ตัวกับตัวผู้ใส่ลงอ่าง หาอะไรมาปิดบังแสง ไม่ให้ถูกรบกวน กันปลากระโดด อย่าตั้งกลางแดด ให้อาหารทุกวันแต่อย่ามากเกินไป ปลาจะวางไข่ติดที่เชือกฟางเป็นเม็ดใสๆ ภายใน 3-7 วัน ปลาท้องแฟบแล้วเอาพ่อแม่ปลาออก เพราะจะกินไข่และลูกหมด

7.การฟักไข่ ต้องให้อากาศตลอดเวลา ดูดเศษตะกอนพื้นบ่อกันน้ำเสีย ตัวอ่อนจะพัฒนาในไข่จะเห็นจุดดำๆในไข่คือลูกตา ภายใน 2-3 วันลูกปลาฟักออกจากไข่ จะเกาะติดกับพื้นหรือผนังด้านข้างเห็นเป็นเส้นดำๆเล็กๆ ระยะนี้จะไม่กินอาหารจะใช้อาหารจากถุงไข่แดงที่ท้องหมดประมาณ 3-4 วัน

8.การอนุบาล ในวันที่ 4 ลูกปลาจะเริ่มว่ายน้ำขึ้นมา เริ่มให้อาหาร นิยมใช้ไข่แดงต้มสุกป่นให้กิน จะเกิดการกระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร ให้ไข่แดงต้มนานประมาณ 7วัน อย่าให้มากเกินจะทำให้น้ำเน่า ทำให้ปลาตาย วิธีให้อาหารทีละน้อยทุก 2 ชั่วโมง หรือ 5-6 ครั้งต่อวัน ถ้าเห็นว่าน้ำจะเน่าเสีย รีบถ่ายน้ำ 20-30% ระวังอย่าดูดลูกปลาออก เมื่อเข้าสัปดาห์ที่ 2 ใช้อาหารปลาลอยน้ำที่มี สาหร่ายสไปรูลิน่า โปรตีน โปรไบโอติคกับเบต้ากลูแคนผสมอยู่มาบดละเอียดคลุกผสมกับไข่แดงต้มโรยให้ลูกปลากิน 3-4 วัน ลูกปลาเริ่มรู้จักอาหาร อาหารโปรตีนสูงลูกปลาจะย่อยได้ดีกว่าอาหารโปรตีนต่ำๆ หลังจากนั้นหยุดให้ไข่แดงต้ม เหลือแต่อาหารบดอย่างเดียว โปรไบโอติคจะเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เข้าไปอยู่ในระบบทางเดินอาหารลูกปลา ช่วยยับยั้งให้จุลินทรีย์ที่ก่อโรคไม่เจริญเติบโต สไปรูลิน่าและเบต้ากลูแคน จะช่วยให้ลูกปลามีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี

9.การคัดลูกปลา ลูกปลาอายุ 1 เดือน เลือกลูกปลาที่ผิดปกติ ป่วย ทรงเสียออกจากลูกปลาที่มีคุณภาพ ส่วนสีของปลาจะดูช่วงนี้ไม่ได้ เพราะสีจริงยังไม่แสดงออก ตำแหน่งสีดำจะกลายเป็นสีแดงเมื่อปลาโตขึ้น

ทราบถึงปัจจัยต่างๆเป็นเกณฑ์กำหนดในการคัดเลือกให้ได้ปลาที่มีคุณภาพ ตลอดจนแนะนำให้เพื่อนที่ต้องการจะทดลองเลี้ยงปลาให้ได้คุณภาพที่สมบูรณ์ ตลอดจนนำปลาที่มีคุณภาพมาจำหน่ายในท้องตลาดที่ได้รับความนิยม

 


ที่มา... PET-MAG นิตยสารสัตว์เลี้ยง


บันทึกการเข้า

ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18651


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 30, 2008, 10:56:26 PM »

ปลาแฟนซีคาร์ป (Fancy carp) หรือที่เรียกกันว่าปลาไนแฟนซี ปลาไนสี หรือปลาไนทรงเครื่อง เป็นปลาน้ำจืดในกลุ่มปลาตะเพียน (carp) ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า โคย (Koi) หรือนิชิกิกอย (Nishikigoi) เดิมทีเป็นปลาไนชนิดธรรมดา ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่พบอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก บริเวณที่ถือว่าเป็นแหล่งดั้งเดิมจริง ๆ ของปลาไนคือประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ชาวจีนเป็นชนกลุ่มแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับปลาไนเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว สำหรับประเทศญี่ปุ่น ตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ชิ้นแรกที่มีอยู่เกี่ยวกับ Koi นั้นได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณสองร้อยปีหลังคริสต์ศตวรรษ หลักฐานดังกล่าวได้เล่าถึงปลาชนิดนี้ว่ามีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน ปลาเหล่านี้ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงไว้สำหรับดูเล่น
               สำหรับประเทศไทย ได้เริ่มมีการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ป ซึ่งนำมาจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2493 จากนั้นก็มีผู้สั่งปลาเข้ามาเลี้ยงกันมากมายในราคาที่ค่อนข้างสูงได้มีการศึกษาและทดลองเพาะพันธุ์จนประสบความสำเร็จ ยังผลให้การสั่งเข้าปลาแฟนซีคาร์ปลดลง และปลาในประเทศที่มีคุณภาพดีได้รับความนิยมมากขึ้นจนแพร่หลายดังเช่นปัจจุบันปลาแฟนซีคาร์ปจะผสมพันธุ์และวางไข่ในฤดูกาลที่แตกต่างกันแล้วแต่สถานที่ที่ปลาอาศัยอยู่ ฤดูวางไข่ของปลาเหล่านี้ในประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศอบอุ่น ส่วนในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธุ์เป็นช่วงฤดูหนาว ปลาจะไม่เจริญเติบโตและไม่สืบพันธุ์ สำหรับประเทศไทยนั้นปลาแฟนซีคาร์ปสามารถวางไข่ได้ตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนซึ่งพ่อแม่ปลามีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
  จำเป็นต้องทราบว่าปลาแฟนซีคาร์ปมีความแตกต่างระหว่างเพศอย่างไร กล่าวคือโดยทั่วไปปลาเพศเมียจะมีความกว้างของลำตัวมากกว่าปลาเพศผู้ บริเวณส่วนท้องจะใหญ่ นิ่ม ช่วงหัวจะกลมและป้านกว่าเพศผู้ ในฤดูสืบพันธุ์ปลาเพศเมียที่มีไข่แก่สมบูรณ์ จะมีส่วนท้องขยายกว้างใหญ่ออกจนถึงเกือบจะเป็นรูปสามเหลี่ยม เมื่อจับหงายท้องดูที่ช่องเพศจะสังเกตเห็นช่องเพศใหญ่และนูนออกเป็นรูปกลม ส่วนปลาเพศผู้ช่องเพศมีลักษณะเล็กเรียวกว่า และเว้าข้างในเล็กน้อย เมื่อจับรีดท้องเพียงเบา ๆ จะมีน้ำเชื้อสีขาวไหลออกมา และเมื่อเอามือลูบบริเวณแก้มหรือครีบหูจะรู้สึกสาก ๆ ในประเทศไทยปลาแฟนซีคาร์ปที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ควรมีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป

หลักการคัดเลือกปลาแฟนซีคาร์ปเพื่อนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ควรคัดจากปลาที่อยู่ในกลุ่มสีเดียวกันหรือต่างกันในกรณีที่ต้องการให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ พ่อแม่พันธุ์จะต้องมีรูปร่างที่ถูกลักษณะ สมบูรณ์ไม่พิการ มีสีและลวดลายที่เด่นชัด เนื่องจากสายพันธุ์ที่ดีจะมีโอกาสให้กำเนิดลูกปลาที่ดีและสวยงามในเปอร์เซ็นต์สูงกว่าปลาที่สายพันธุ์ไม่ดี
วิธีเพาะพันธุ์

ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ (18-22 องศาเซลเซียส) จำเป็นต้องมีการเพิ่มอุณหภูมิ เพื่อกระตุ้นให้ปลามีการผสมพันธุ์และวางไข่แต่สำหรับประเทศไทยซึ่งมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 25-32 องศาเซลเซียส จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น

บ่อผสมพันธุ์ปลาแฟนซีคาร์ป ควรเป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 4 ตารางเมตร มีการทำความสะอาด กำจัดศัตรูและโรคอย่างดี น้ำที่ใช้เพาะพันธุ์ควรเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติดี ไม่มีสารพิษหรือเคมีใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวปลาและไข่ปลา โดยปกติระดับน้ำในบ่อเพาะควรมีความลึกประมาณ 50-70 เซนติเมตร ใช้เชือกฟางพลาสติก สาหร่าย หรือรากของพันธุ์ไม้น้ำมาผูกติดกันเป็นแพลอยอยู่ในบ่อเพื่อให้ไข่ติด อัตราส่วนของพ่อแม่พันธุ์ที่นิยมในการเพาะใช้แม่ปลา 1 ตัว ต่อพ่อปลา 2-3 ตัว การปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงในบ่อเพาะควรกระทำในเวลาเย็นเพื่อปลาจะผสมพันธุ์ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น แม่ปลาความยาว 40 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัม จะมีไข่ประมาณ 7-8 หมื่นฟอง พฤติกรรมในการผสมพันธุ์วางไข่ มีลักษณะเช่นเดียวกันกับปลาในตระกูลคาร์ปชนิดอื่น ๆ คือ ปลาตัวผู้จะใช้ส่วนหัวดุนที่ส่วนท้องของตัวเมียเพื่อกระตุ้นให้แม่ปลาวางไข่ แม่ปลาจะว่ายไปใกล้ผิวน้ำแล้วกลับตัวเพื่อปล่อยไข่ ขณะเดียวกันปลาตัวผู้จะปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะติดกับวัสดุที่เตรียมไว้ หลังจากปลาวางไข่แล้วต้องย้ายพ่อแม่ปลาออกจากบ่อเพาะ ส่วนไข่ที่ติดอยู่กับวัสดุจะย้ายไปพักในบ่ออื่นหรือฟักในบ่อเดิมก็ได้


การฟักไข่และอนุบาลลูกปลา
            ไข่ปลาแฟนซีคาร์ปเป็นไข่ที่ติดกับวัสดุ มีสีเหลืองอ่อน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.7 มิลลิเมตร ไข่ที่ผสมแล้วมีลักษณะโปร่งใสใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 45 ชั่วโมง ณ อุณหภูมิ 28-29 องศาเซลเซียส เมื่อฟักเป็นตัวใหม่ ๆ ตัวอ่อนจะเกาะติดกับวัสดุใต้น้ำ ลูกปลาวัยอ่อนจะกินอาหารจากถุงไข่แดง (Yolk sac) ที่ติดอยู่ที่ตัวปลา เมื่อถุงไข่แดงยุบ (ประมาณ 2-3 วัน) ปลาจะเริ่มว่ายน้ำและหาอาหารธรรมชาติ อาหารในช่วงแรกนี้ควรใช้นมผงหรือไข่แดงต้มสุก บดละเอียดละลายน้ำให้กินวันละ 4-6 ครั้ง จากนั้นจึงให้ไรแดงจืด (Moina sp.) เป็นอาหาร ลูกปลาจะเริ่มเกิดครีบหาง และครีบหูเมื่ออายุ 6 วัน เริ่มมีเกล็ดเมื่ออายุ 12 วัน และจะเจริญเติบโตจนมีรูปร่างและอวัยวะต่าง ๆ ครบเหมือนปลาทั่วไปเมื่ออายุได้ 15 วัน ซึ่งในระยะนี้ลูกปลาจะมีความยาวเฉลี่ย 1.7 เซนติเมตร
  การคัดเลือกลูกปลา โดยทั่วไปแล้วหลังจากที่ลูกปลามีอายุประมาณ 60 วัน จึงเริ่มมีการคัดลูกปลา โดยคัดแยกปลาที่มีลักษณะดี สีสวยงาม ไม่พิการไปเลี้ยง ส่วนปลาที่ไม่ต้องการควรแยกออก เพื่อมิให้ปะปนกัน ปลาที่มีลักษณะดี ในการเพาะพันธุ์ปลาแฟนซีคาร์ปในแต่ละครั้ง อาจได้ลูกปลาที่สีสวยงามดี ในการเพาะแต่ละครั้งจะได้ลูกปลาที่มีลักษณะเหมือนพ่อแม่ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ แต่ปลาที่สามารถคัดได้มีคุณภาพดีเยี่ยมอาจไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ได้เลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของพ่อแม่ วิธีการอนุบาล ตลอดจนการดูแลเอาใจใส่ของผู้เพาะพันธุ์การเรียก
ชื่อปลาแบบญี่ปุ่นปัจจุบันการเรียกชื่อปลาแฟนซีคาร์ปตามสายพันธุ์ อาศัยการดูลักษณะและรูปร่างแถบสีของปลาเป็นหลัก ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้กำหนดการเรียกชื่อของปลานี้โดยแบ่งออกเป็น 13 กลุ่ม ลักษณะดังต่อไปนี้


โคฮากุ (KOHAKU)
  "โค" แปลว่า แดง "ฮากุ" แปลว่า ขาว โคฮากุ คือปลาที่มีสีแดงกับสีขาว ปลาที่ดีสายพันธุ์นี้จะต้องเป็นสีขาวสะอาดเหมือนสีหิมะซึ่งจะตัดกับแดงซึ่งอยู่ในรูปแบบที่ดีอย่างเด่นชัดไทโช-ซันโชกุ (TAISHO-SANSHOKU)
       จักรพรรดิไทโช บิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน คือเริ่มประมาณ ค.ศ. 1912 "ซันโชกุ" แปลว่า 3 สี ปลาคาร์ปพวกนี้พื้นลำตัวเป็นสีขาว แต่ลวดลายหรือจุดแต้มสีแดงหรือสีดำที่เด่นชัด ส่วนสีขาวก็เป็นเหมือนหิมะและที่ครีบหูจะต้องเป็นสีขาวด้วย



โชวา-ซันโชกุ (SHOWA-SANSHOKU)
"โชวา" หมายถึง ยุคหนึ่งในสมัยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันครองราช เริ่มประมาณ ค.ศ. 1927 "ซันโชกุ" แปลว่า 3 สี ปลาคาร์ปกลุ่มนี้มีพื้นลำตัวเป็นสีดำ แต่มีลวดลายหรือจุดแต้มสีขาวและสีแดง ที่ครีบหูจะต้องมีจุดสีดำ



อุทซึริ-โมโน (UTSURI-MONO)
  "อุทซึริ" หมายถึง สีดำที่เป็นลายแถบคาดคลุมจากหลังลงมา ถึงส่วนท้องด้านล่างบนพื้นสีอื่น ๆ ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น ชิโร-อุทซึริ (Shiro-Utsuri), ฮิ-อุทซึริ (Hi-Utsuri), คิ-อุทซึริ (Ki-Utsuri)



เบคโกะ (BEKKO)
   "เบคโกะ" แปลว่า กระ ปลากลุ่มนี้มีสีขาว แดง หรือเหลือง สีลวดลายเป็นสีดำ มีลักษณะเหมือนที่พบบนกระดองเต่า คือ สีดำเป็นดอก ๆ บนลำตัว ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น ชิโร-เลคโกะ (Shiro-Bekko), ฮิ-เบคโกะ (Hi-Bekko), คิ-เบคโกะ (Ki-Bekko) เป็นต้น



อาซากิ ชูซุย (ASAGI, SHUSUI)
   "อาซากิ" แปลว่า สีฟ้าอ่อน ส่วนบนของลำตัวปลาเป็นสีฟ้าหรือสีเทา แต่มีลวดลายคล้ายร่างแหหรือตาข่ายคลุม "ชูซุย" หมายถึง ปลาแฟนซีคาร์ปพันธุ์เยอรมัน (โดยซึ) ที่มีเกล็ดสีน้ำเงินบนแนวสันหลัง



โคโรโมะ (KOROMO)
   "โคโรโมะ" แปลว่า เสื้อคลุม โคโรโมะ หมายถึง ปลาซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มสีโคฮากุ กับกลุ่มสีอาซากิ หรือกลุ่มสีซันโกกุ กับกลุ่มสีอาซากิ สายพันธุ์ที่เกิดใหม่และรู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น อะ-โคโรโมะ (Ai-goromo), ซูมิ-โคโรโมะ (Sumi-goromo) เป็นต้น



ฮิการิ-มูจิโมโน หรือ โอกอน (HIKARI-MUJIMONO or OGON)
"ฮิการิ" แปลว่า แสงรัศมี "มูจิโมโน" แปลว่า ชนิดที่มีสีเดียวกันล้วน ๆ หมายถึงปลาที่มีสีเดียวกันตลอดตัว "โอกอน" เป็นปลาที่มีสีเหลืองทอง Platinum-Ogon เป็นปลาสีเหลืองที่มีประกายเหมือนทองคำขาว, Orange-Ogon เป็นปลาสีเหลืองมีประกายสีส้ม เป็นต้น



ฮิการิ-โมโยโมโน (HIKARI-MOYOMONO)
    "ฮิการิ" แปลว่า แสงรัศมี "โมโยโมโน" แปลว่า ชนิดที่ผสม รวมความแปลว่าชนิดที่มีเกล็ดสีเงินสีทองเป็นแสงรัศมี เป็นลูกผสมระหว่างปลาโอกอน กับปลาในกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปลากลุ่ม อุทซึริ ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น ยามาบูกิ-ฮาริวากี (Yamabuki-Hariwake), คูจากุ (Kujaku) เป็นต้น



ฮิการิ-อุทซึริโมโน (HIKARI-UTSURIMONO)
        เป็นการผสมพันธุ์ปลาระหว่างอุทซึริ กับ โอกอน ได้ลูกปลาสีพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีสีทองหรือสีเงินแทรกอยู่ เช่น สีของพันธุ์โชวาที่มีสีทองคำขาวแทรก อยู่ (Gin-Showa) สีของพันธุ์อุทซึริที่มีสีทองแทรกอยู่ (Kin-Ki-Utsuri) เป็นต้น



คาวาริโมโน (KAWARIMONO)
  "คาวาริ" แปลว่า เปลี่ยนแปลงนอกคอก ไม่เหมือนใคร "โมโน" แปลว่า ชนิด รวมความแปลว่า ชนิดที่สีไม่เหมือนใคร เช่น ปลาสีดำ (Karasugoi) สีชา (Chagoi), สีเขียว (Midorigoi)



คินกินริน (KINGINRIN)
   "คิน" แปลว่า ทอง "กิน" แปลว่า เงิน "ริน" แปลว่า เกล็ด รวมความแปลว่า ปลาที่มีเกล็ดทอง เกล็ดเงิน หมายถึงปลาที่มีเกล็ดสีเงินสะท้อนแสงแวววาวเป็นลายเส้นขนานตามแนวยาวของสันหลัง เช่น ปลาพันธุ์โคฮากุที่มีเกล็ดเงิน (Kinginrin-Kohaku) ปลาพันธุ์เบคโกะที่มีสีเงิน (Kinginrin-Bekko) เป็นต้น



ตันโจ (TANCHO)
   "ตันโจ" แปลว่า หงอนแดงของหัวไก่ หมายถึงปลาที่มีสีแดงลักษณะกลมที่หัว ส่วนลำตัวจะมีสีขาวหรือสีอื่นก็ได้ เช่น ตันโจ-โคฮากุ (Tencho Kohaku), ตันโจ-โชวา (Tancho-Showa) เป็นต้นจากการตั้งชื่อกลุ่มปลาดังกล่าวข้างต้น จะสังเกตได้ว่าการเรียกชื่อถือรากศัพท์ของสี สถานที่ ชื่อรัชสมัย ฯลฯ ในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นคำเรียก ดังนั้นในการเรียกชื่อปลาแต่ละตัวซึ่งมีลักษณะรวมในกลุ่มเดียวหรือหลายกลุ่มปนกันจึงสามารถนำชื่อกลุ่มเรียงต่อกัน หรือจะตั้งเป็นชื่อใหม่ก็ได้ ตัวอย่างเช่น
ตันโจ-แพลทินั่ม-กินริน (Tancho-Platinum-Ginrin)
        หมายถึงปลาสีแพลทินั่มที่มีสีแดงกลมที่หัวและเกล็ดสีเงินสะท้อนแสงแวววาวเป็นสายเส้นขนานตามลำตัว
ตันโจ-โชวา-ซันโชกุ (Tancho-Showa-Sanshoku)
        หมายถึงปลาสีแดง ดำ ขาว ซึ่งมีสีดำเป็นสีพื้นของลำตัวตลอดจนครีบหู และมีสีแดงกลมที่บริเวณหัว
แพลทินัม-โดยซึ (Platinum-Doitsu)
        หมายถึงปลาพันธุ์เยอรมันที่มีสีทองคำขาว
ฮิ-อุทซึริ (Hi-Utsuri)
       หมายถึงปลาสีแดงที่มีสีดำเป็นลายแดงคาดคลุมจากหลังลงมาถึงส่วนท้องด้านล่าง
ชิโร-เบคโกะ (Shiro-Bekko)
      หมายถึงปลาสีขาวที่มีลวดลายสีดำเป็นดอกบนลำตัว

http://www.chanthakan.th.gs
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!