พิมพ์หน้านี้ - ความหมาย LAN วิธีการต่อและการใช้งาน

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

ห้องคอมพิวเตอร์ => ●lan - internet - browser => ข้อความที่เริ่มโดย: yongyut ที่ มิถุนายน 21, 2007, 04:39:39 PM



หัวข้อ: ความหมาย LAN วิธีการต่อและการใช้งาน
เริ่มหัวข้อโดย: yongyut ที่ มิถุนายน 21, 2007, 04:39:39 PM
ระบบเครือข่าย   
   ระบบเครือข่าย   LAN   
   LAN   ย่อมาจาก    Local   Area   Network  คือ   กลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันในพื้นที่ที่จำกัด   เช่น   ภายในอาคารเดียวกัน   โดยคอมพิวเตอร์ที่ต่อกันอยู่นั้นสามารถที่จะแบ่งกันใช้ข้อมูล   สามารถโอ้นย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้รวมทั้งยังสามาใช้อปกรณ์ต่างๆร่วมกันได้อีกด้วย    เรามักจะพบเครื่องคอมพิวเตอร์สแกนเนอร์ร่วมกัน   หรืออาจสรุปได้ง่ายๆว่า  LAN  คือ   ระบบเครือข่ายชนิดหนึ่งที่ใช้ในพื้นที่ที่จำกัดนั้นเอง
   
   ระบบ  WAN 
   ระบบ  WAN   ย่อมาจาก  Wide  Area  Network   เป็นเครือข่ายคอมพวเตอร์เช่นเดียวกันกับ  LAN  แต่เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นมาอีก  ได้แก่  การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างเมือง มักจะใช้เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างเครื่อข่ายที่อยู่พื้นที่ห่างไกลกันให้สามรถรับส่งข้อมูลกันได้  เช่น  เร้าเตอร์ (router),โมเด็ม(modem)  และอาจจะมีอุปกรณ์อื่นๆหรือเชร์ฟเวอร์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ระบบ  Internet  คือ  ระบบการสือสารข้อมูลโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมต่กันอยู่ทั่วโลก  เพราะจุดให้บริการเครือข่าย  (Server)  ในแต่ละมาตรฐานการติดต่อสื่อสาร  (Protocol)  อันเดียวกันคือ  TCP/IP  มีศูนย์กลางที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  และกระจายเครือข่ายอยู่ทั่วโลก

   การเชื่อมต่อกับระบบ  Internet   
   การเชื่อมต่อกับระบบ  Internet  ผู้ใช้บริการจะต้องติดต่อกับผู้ให้บริการ  ISP (Internet  Service  Provider)  เพื่อสมัครสมาชิกและขอหมายเลขบัญชี  เพื่อโทรศัพท์เข้าศูนย์บริการ  โดยติดต่อกับ  Modem  เพื่อทำการแปลงสัญญาณดิจิตอลของคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณโทรศัพท์แล้วส่งผ่านข้อมูล  ไปตามสายโทรศัพท์  และเมื่อมีการส่งข้อมูลกลับมา  Modem  จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณโทรศัพท์ไปเป็นสัญญาณดิจิตอล  โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำเข้ามาและส่งออกโดยใช้

   การเข้าหัวสาย  UTP  (Cat5)แบบ  RJ-45
การเข้าหัวสาย  UTP  แบบ  RJ-45  เพือนำไปใช้ในระบบ  LAN  สายนี้สามารถใช้ได้กับระบบ  LAN  ที่มีความเร็ว  10  หรือ  100  Mbps  ได้ทั้ง  2  ระดับ  แต่ถ้าจะใช้ที่ระดับ  100Mbps  ควรใช้เส้นค่อนข้างสั้นและต้องเป็นเกรดดีสักหน่อย
   
   ประเภทของสาย  UTP
สาย  UTP   สำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาดสามารถแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภท  ตามลักษณะการใช้งาน
   1. สายตรง  (Straight-though  Cable)  คือสายปกติทั่วไปที่ใช้เชื่อต่อระหว่างการ์ด LAN  และ  Hub/Switch
   2. สายไข้ว  (Crossover  Cable)    โดยส่วนมากเชื่อมต่อระหว่างการ์ด  LAN 2 การ์ด  เพื่อให้เครื่องพีซี  2 ตัว  สามารถติดต่อกันได้โดยตรงไม่ต้องผ่าน  Hub  หรือ  Switch  นอกจากนี้ยังสามารถใช้เชื่อมต่อ  Hub  หรือ  Switch 2  ตัวเข้าด้วยกันเพื่อขยายพอร์ต  ซึ่งเราเรียกการต่อแบบนี้ว่า  Cascade  นั่นเอง
   
   สิ่งที่ต้องเตรียมในการเข้าหัวสาย  LAN
1.  เครื่องมือสำหรับเข้าหัวสาย (RJ-45 Crimping  Tool)
2.  หัวต่อ  RJ-45
3.  สาย  UTP  แบบ  Category 5 (CAT5)  ภายในลวด  8  เส้น

   การอ้างอิงหมายเลข  PIN  ของหัวต่อ  RJ-45
หัวต่อ  RJ-45  จะมีทั้งหมด  8  PIN  ซึ่งเท่ากับจำนวนส้นลวดในสาย  UTP  โดยมีวิธีอ้างอิงหมายเลข  PIN  เพื่อใช้ในการเข้าหัวสาย

   สีของฉนวนหุ้มเส้นลวดในสาย  UTP 
หากปอกเปลือกชั้นนอกของสาย UTP  ออกมา  (ค่อยๆปอกโดยอย่าให้โดนฉนวนหุ้มสายชั้นในขาดไปด้วยเด็ดขาด)  จะเห็นลวดเส้นเล็กๆ  อยู่ 8 เส้น  แต่ละเส้นหุ้มฉนวนที่มีสีสันแตกต่างกันไป  สีที่เห็นนี้เป็นสีมาตราฐานที่ใช้กัน  ซึ่งรายละเอียดของสีแสดงไว้ในตารางต่อไปนี้

สี   ลักษณะ
ขาว-น้ำเงิน   เป็นสีขาวส่วนใหญ่และขลิบหรือป้ายด้วยสีน้ำเงินหรือสีฟ้าเป็นหย่อมๆ
น้ำเงิน   เป็นสีน้ำเงินหรือสีฟ้าตลอดทั้งเส้น
ขาว-ส้ม   เป็นสีขาวส่วนใหญ่  และขลิบหรือป้ายด้วยสีส้มเป็นหย่อมๆ
ส้ม   เป็นสีส้มตลอดทั้งเส้น
ขาว-เขียว   เป็นสีขาวส่วนใหญ่  และขลิบหรือป้ายด้วยสีเขียวเป็นหย่อมๆ
เขียว   เป็นสีเขียวตลอดทั้งเส้น
ขาว-น้ำตาล   เป็นสีขาวส่วนใหญ่  และขลิบหรือป้ายด้วยสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆ
น้ำตาล   เป็นสีน้ำตาลตลอดทั้งเส้น

   ขั้นตอนการเข้าหัวสาย
   วัดระยะทางของสายที่ต้องใช้  เช่น  จากเครื่องพีซีไปยัง  Hub/Switch  หรือระหว่างเครื่องพีซี  2เครื่อง  ในกรณีที่คุณต้องการใช้สายแบบ  Crossover  เป็นต้น  แต่ถ้ายังไม่ตัดสินใจว่าจะตั้งเครื่องไว้ที่ไหน  ก็เผื่อระยะที่ยาวๆไว้ก่อน  ตัดสาย  UTP  ให้ยาวตามระยะที่วัดได้หรือตามที่ต้องการ  ขอแนะนำควรจะตัดสายให้ยาวๆ  ไว้ดีกว่าทำสายสั้นๆ  เนื้องจากสายที่ยาวสามารถจะม้วนเก็บหรือตัดให้สั้นลงภายหลังได้  แต่ถ้าทำสายสั้นๆหรือพอดีเลยเวลาจะย้ายที่ตั้งก็อาจต้องหาสายที่ยาวกว่ามาใช้    (ข้อควรระวัง  คืออย่าลืมว่าระยะทางของสายจาก  Hub/Switch  มาเครื่องพีซีจะต้องไม่เกิน  100 เมตร)  ปอกเปลือกนอกของสาย  UTP  ออกด้วยเครื่องมือเข้าหัวสายโดยสอดปลายสายเข้าไปในช่องที่เขียนว่า  “Strip”  ให้สุดแล้วบีบเครื่องมือจนได้ยินเสียงคลิกก่อนจึงสามาคลายเครื่องมือออกได้

ตารางการจัดเรียงสีสำหรับสายตรง  (Straight  Though)

PIN   ลำดับสี  (ทั้ง 2 ด้าน)
1   ขาว-ส้ม
2   ส้ม
3   ขาว-เขียว
4   น้ำเงิน
5   ขาว-น้ำเงิน
6   เขียว
7   ขาว-น้ำตาล
8   น้ำตาล

ตารางการจัดเรียงสีสำหรับสายไขว้  (Crossover)

ลำดับสีด้านซ้าย   PIN   ลำดับสีด้านขวา
ขาว-ส้ม   1   ขาว-เขียว
ส้ม   2   เขียว
ขาว-เขียว   3   ขาว-ส้ม
น้ำเงิน   4   น้ำเงิน
ขาว-น้ำเงิน   5   ขาว-น้ำเงิน
เขียว   6   ส้ม
ขาว-น้ำตาล   7   ขาว-น้ำตาล
น้ำตาล   8   น้ำตาล

   ระดับความเร็วของอุปกรณ์
   การ์ด  LAN  ในเครื่องพีซีที่ใช้จะต้องสนับสนุนระดับความเร็วเดียวกับ  Hub  หรือ  Switch  ด้วย  คือ  ถ้าการ์ด  LAN  สนับสนุนความเร็ว  10 Mbps  ที่  Hub  หรือ  Switch  ก็จะต้องสามารถสนับสนุนที่ความเร็ว  10 Mbps  ด้วย  (อาจเป็นแบบ 10 Mbps  อย่างเดียวหรือ  10/100 Mbps  )  ทางที่ดีถ้ายังมีบางเครื่องเป็น  10 Mbps  อยู่ก็ต้องเปลี่ยนทั้งการ์ด  Hub  หรือ  Switch รุ่นที่เป็น  10/100  Mbps ซึ่งสนับสนุนทั้ง  2  ระดับ

   ประเภทของสายที่ใช้ต่อ
   สายที่ใช้จะต้องเป็นสาย  UTP  แบบ  Cat5 (Category 5)  และเข้าหัวแบบ  RJ-45  ถูกต้องตามมาตรฐานไม่ว่าจะเป็นแบบ  EIA/TIA 568B หรือ  568A ก็ได้
   สายที่ใช้ต่อระหว่างการ์ด  LAN  และ  Hub  หรือจะเป็นสายแบบตรง  (Straight-though)
สายที่ใช้ต่อระหว่างพอร์ตธรรมดาของ  Hub  หรือ  Switch 2  ตัว  จะต้องเป็นสายแบบไขว้ (Crossover)  สายที่ใช้ต่อระหว่างการ์ด  LAN  ของเครื่องพีซี  2  เครื่อง  เพื่อให้สามารถคุยกันได้โดยไม่ต้องผ่าน  Hub/Switch  จะต้องใช้สายแบบไข้ว

   เส้นใยแก้วนำแสง หรือ ไฟเบอร์ออฟติกส์ (Fiber Optic Cable)
     หลักการทั่วไปของการสื่อสารในสายไฟเบอร์ออปติกคือการเปลี่ยนสัญญาณ (ข้อมูล)  ไฟฟ้าให้เป็นคลื่นแสงก่อน  จากนั้นจึงส่งออกไปเป็นพัลส์ของแสงผ่านสายไฟเบอร์ออปติกสายไฟเบอร์ออปติกทำจากแก้วหรือพลาสติกสามารถส่งลำแสง ผ่านสายได้ทีละหลาย ๆ ลำแสงด้วยมุมที่ต่างกัน  ลำแสงที่ส่งออกไปเป็นพัลส์นั้นจะสะท้อนกลับไปมาที่ผิวของสายชั้นในจนถึงปลายทาง
 
                จากสัญญาณข้อมูลซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณอนาล็อกหรือดิจิตอล จะผ่านอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่มอดูเลตสัญญาณเสียก่อน  จากนั้นจะส่งสัญญาณมอดูเลตผ่านตัวไดโอดซึ่งมี  2  ชนิดคือ  LED  ไดโอด  (light Emitting Diode)  และเลเซอร์ไดโอด หรือ  ILD ไดโอด  (Injection Leser Diode)  ไดโอดจะมีหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณมอดูเลตให้เป็นลำแสงเลเซอร์ซึ่งเป็นคลื่นแสงในย่านที่มองเห็นได้  หรือเป็นลำแสงในย่านอินฟราเรดซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้  ความถี่ย่านอินฟราเรดที่ใช้จะอยู่ในช่วง 1014-1015 เฮิรตซ์  ลำแสงจะถูกส่งออกไปตามสายไฟเบอร์ออปติก  เมื่อถึงปลายทางก็จะมีตัวโฟโต้ไดโอด (Photo Diode)  ที่ทำหน้าที่รับลำแสงที่ถูกส่งมาเพื่อเปลี่ยนสัญญาณแสงให้กลับไปเป็นสัญญาณมอดูเลตตามเดิม  จากนั้นก็จะส่งสัญญาณผ่านเข้าอุปกรณ์ดีมอดูเลต  เพื่อทำการดีมอดูเลตสัญญาณมอดูเลตให้เหลือแต่สัญญาณข้อมูลที่ต้องการ
              สายไฟเบอร์ออปติก
    สายไฟเบอร์ออปติกสามารถมีแบนด์วิดท์  (BW)  ได้กว้างถึง  3 จิกะเฮิรตซ์ (1 จิกะ = 109) และมีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลได้ถึง  1 จิกะบิตต่อวินาที  ภายในระยะทาง  100 กม.  โดยไม่ต้องการเครื่องทบทวนสัญญาณเลย  สายไฟเบอร์ออปติกสามารถมีช่องทางสื่อสารได้มากถึง  20,000-60,000  ช่องทาง  สำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกล ๆ ไม่เกิน  10 กม.  จะสามารถมีช่องทางได้มากถึง 100,000  ช่อง
 

 
               ความผิดพลาดในการส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์ออปติกนั้นมีน้อยมาก  คือประมาณ  1 ใน  10 ล้านบิตต่อการส่ง  1,000 ครั้ง  เท่านั้น  ทั้งยังป้องกันการรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้โดยสิ้นเชิง แม้ว่าการส่งข้อมูลผ่านทางสายไฟเบอร์ออปติก จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม  และจำนวนมหาศาลดังกล่าวมาแล้วก็ตามแต่เราต้องคำนึงถึง ปัญหาและความเหมาะสม บางประการอีกด้วย
 
ข้อจำกัด
1.      ราคา  ทั้งสายไฟเบอร์ออปติกและอุปกรณ์ประกอบการทั้งหลายมีราคาสูงกว่าการส่งสัญญาณผ่านสายเคเบิลธรรมดามาก
2.      อุปกรณ์พิเศษสำหรับการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นคลื่นแสง และจากคลื่นแสงกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้า  และยังมีเครื่องทบทวนสัญญาณอีก  อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งมีความซับซ้อน  และราคาแพงมาก
3.      เทคนิคในการติดตั้งระบบ  เนื่องจากสายไฟเบอร์ออปติกมีความแข็งแต่เปราะจึงยากต่อการเดินสายไฟตามที่ต่าง ๆ  ได้ตามที่ต้องการ  อีกทั้งการเชื่อมต่อระหว่างสายก็ทำได้ยากมาก  เพราะต้องระวังไม่ได้เกิดการหักเห
   ความยาวของสาย
   ความยาวสายจากการ์ด  LAN  ไปยัง  Hub หรือ Switch  ได้สูงสุดไม่เกิน 100  เมตร  ถ้าต้องการเกินกว่านี้จะต้องหา  Hub หรือ Switch  อีกตัวมาต่อแบบ  Cascade 
ระยะห่างระหว่าง  Hub หรือ Switch  แบบ  10Mbps  ได้ไม่เกิน  100  เมตร
ระยะห่างระหว่าง  Hub แบบ  Ethernet  2  ตัว   จะยาวไม่เกิน  5  เมตรเท่านั้น

 8) 8) :-* :-\