พิมพ์หน้านี้ - CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!

LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"

เครื่องเสียงบ้าน,กลางแจ้ง - แสงสี => ♫ถาม-ตอบ เครื่องเสียง => ข้อความที่เริ่มโดย: apisit sombutdee ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 12:03:48 PM



หัวข้อ: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: apisit sombutdee ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 12:03:48 PM
รบกวนหน่อยครับ  พี่ผู้รู้ทุกท่านครับ  ผมล่ะงงเรื่อง  คลาส  ของเครื่องขยาย    อยากจะรู้มากๆเลย  คำว่า คลาส A
คลาส B  บางที  คลาส G  ก็ยังมีช่างพูดกันอยู่   ผมละงงไม่รู้ว่าคืออะไร  แล้วบางคนบอกว่า  คลาสนั้น  คลาสนี้  ให้เสียงดี   เถียงกันไปเถียงกันมา    ผมก็งงอีกแล้วครับท่าน   เลยอยากจะขอความอนุเคราะร์  จากช่างผู้รู้ว่า  คลาส
คืออะไร    คลาสไหนให้เสียงดีกว่ากันนะครับ.    ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ.


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: thaworn ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 03:05:29 PM
ลองไปซื้อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นมาศึกษาดูก่อนนะครับ ก็พอจะมีอธิบายเกี่ยวกับ Class ของขยายอยู่ครับ


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: FIR2029 ที่ พฤษภาคม 27, 2007, 11:33:04 PM
ตายหละ เห็นถามเรื่องCASE ผมกะจะเข้ามาตอบ ว่า แท่น เครื่องเสียงซะหน่อย

ไหง เข้ามาแล้วเป็นการถามเรื่องคลาสซะงั้น  อิอิอิ


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: BenQ ที่ พฤษภาคม 27, 2007, 11:39:29 PM
การแบ่ง Class ของเครื่องเสียง ไม่ใช่ CASE นะครับ...................... 8)

1.แบ่งตามชนิดไบอัสของ เอาท์พุททรานซิสเตอร์ ได้แก่ CLASS A,B,AB,C
2.แบ่งตามความคิดของผู้ออกแบบ ได้แก่
CLASS  H มีแหล่งจ่ายไฟ 2 แหล่ง ไฟสูงและไฟต่ำ ชุดไฟต่ำทำงานด้วย CLASS AB ชุดไฟสูงจะจ่ายไฟให้ชุดไฟต่ำอีกทีแบบแปรผันกับสัญญาณ
             หากสัญญาณมาแรง ชุดไฟสูงก็จะปรับแรงดังไฟเลี้ยงให้สูงตาม ทำให้สัญญาณไม่ขลิบ
CLASS  G เหมือน CLASS H แต่ หากสัญญาณจะขลิบ ชุดไฟสูงจะจ่ายไฟสูงให้เลย(เป็นสวิทช์ เปิด-ปิด ไฟสูง)
       
จุดประสงค์ของทั้ง 2 CLASS เพื่อที่ต้องการออกแบบวงจรขยายวัตต์สูง แต่ ทรานซิสเตอร์ไม่สามารถรับไฟสูงได้ และทำให้ลดความร้อน เพิ่มประสิทธิภาพ
(หมายถึงใช้กินไฟน้อย) เลยทำให้เกิด CLASS D

CLASS D เป็นการแปลงสัญญาณ Analog เป็น Digital และ ณ จุด output จะใช้ Coil+C ฟิลเตอร์ให้เป็น Analog อีกทีหนึ่ง เนื่องจาก Output ทำงาน
             แบบ Digital ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงเกินกว่า 90% หมายถึงถ้า amp ใช้กำลัง 100 w จะสามารถถ่ายทอดพลังงานให้แก่ลำโพงได้ถึง
             90 w สูญเสียภายในวงจรเพียง 10 w แต่เนื่องจาก จุด output ใช้ Coil+C ขวางลำโพงอยู่ ทำให้ Damping factor ต่ำ เสียงไม่สมจริง
             ในวงการเครื่องเสียงจึงไม่นิยมครับ

คงมี CLASS แปลก ๆ อื่น ๆ อีก โดยส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นหลักการนี้ครับ แต่ส่วนมากจะเป็นประเภทวงจรมากกว่า ได้แก่ ประเภท X-circuit
ลืมอีก CLASS ครับ Super A ของ JVC คนไทยเอามาทำให้ชื่อว่า Dynamic CLASS A
หลักการคือ Bias แบบ CLASS AB แต่ ณ อีกเฟสสัญญาณ TR จะไม่หยุดนำกระแส (ไม่เหมือน CLASS AB) ที่ TR จะหยุดนำกระแสหากไม่ใช่ เฟส
ของตัวเอง แหมอธิบายยาก
หู!!! มันออกแบบได้ไงเนี่ย เก่งจริง ๆ จากการทดสอบทาง LAB เขารับรองว่า ได้เสียงสมจริงเหมือน CLASS A แต่กินไฟมากกว่า AB นิดหน่อย
แต่ที่ไม่ฮิตติดตลาด เพราะพวกไฮไฟไม่ยอมรับครับ

อ้อ ในหนังสือคงไม่มี CLASS Super A นะครับ ผมเรียนจบมานานแล้ว ทุกอย่างประทับไว้ในความทรงจำ .....ไม่รู้ลืม

Class H กินไฟมากกว่า AB นิดหน่อยครับ ผมยังไม่เคยเห็นวงจรเลย ที่ผมรู้ที่มาเหล่านี้มาจากวารสาร สเตอริโอสมัยเมื่อสามสิบปีก่อน ไว้ว่าง ๆ จะ หาหนังสือ scan ให้ดูกันครับ  ส่วน Class G ของแอมป์ Carver มีแหล่งจ่ายไฟถึง 3 ระดับ ตัวบางเฉียบ ไม่ใช้หม้อแปลง คาดว่า ใช้ Coil tab ไฟมาจากไฟบ้านเลย
โดยใช้ Triac ควบคุม ทำให้ amp model นี้สามารถส่งกำลังได้ 250 W. RMS และ 1200 W. peak

ในความเห็นผมนะครับ amp 300 w. RMS ต้องใช้ไฟไม่น้อยกว่า +/- 86 Volt หากต้องการ 1000 วัตต์ตามความเข้าใจของผม วงจรคงต้องใช้ไฟเลี้ยง
ไม่น้อยกว่า +/-100 Volt  (ที่โหลด 8 โอห์ม) Class AB คงไม่ไหว

แหม ผมทำหนังสือหายไปเล่มนึง เป็นวงจรขยายขนาด 800 W.(วัตต์ไม่โม้) ถ้าจำไม่ผิด ใช้ไฟ +/- 115 Volt เลยทีเดียว TR เรียงเป็นแผง

หากต้องการวัตต์สูงและใช้ไฟต่ำ ก็ต้องใช้ลำโพง 4 โอหม์ครับ ต่ำกว่านี้ไม่ดี เพราะความต้านทานของสายลำโพงเอาไปหมด แม้สายลำโพงจะสั้นๆก็ตาม

Class H จะใช้ไฟสองระดับ เป็น LO กับ HI สมมติว่า LO ใช้ไฟ 30 Volt  HI =100 Volt
เมื่อเปิดเพลงเบาๆ ทรานซิสเตอร์จะใช้ไฟ LO ยามใดที่สัญญาณพุ่งแรง จะมีวงจรตรวจจับสัญญาณ แล้วสั่งให้วงจรพิเศษดึงไฟ จากชุด HI
มาจ่ายให้กับชุด LO
เช่น สัญญาณขนาด 20 Volt ใช้ไฟชุด LO
      สัญญาณขนาด 35 Volt ไฟชุด HI จะจ่ายไฟให้มากกว่า 35 โวลท์นิดหน่อยครับ เหมือนกับเป็น Linear regulator แปรผันตามขนาด
สัญญาณเข้า

ไม่เหมือนกับวงจร Class G เพราะ Class นี้จะสวิทช์ไฟ HI จ่ายให้เลย ดังนั้น จากกรณีตัวอย่างที่สัญญาณขนาด 35 โวลท์ TR output
จะได้รับไฟตรงขนาด 100 Volt เลยทีเดียว
ซึ่งวงจรประเภทนี้จะเห็นตามวารสารต่าง ๆ มากเลยเพราะออกแบบง่ายกว่า เห็นใช้ ic op-amp ออกแบบเป็นวงจรเปรียบเทียบแรงดัน
ระหว่างแรงดันอ้างอิงกับสัญญาณเข้า แล้วไปสั่ง MOSFET switch ไฟสูงจ่ายให้ TR output เลย

หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ ถึงเหตุผลที่ทำไมต้องใช้แหล่งจ่ายไฟมากกว่า 1 แหล่ง
คราวนี้ผมวิเคราะห์ต่อ การที่ Class G สวิทช์ไฟแบบรวดเร็วเช่นนี้ จะทำให้ TR output ได้รับไฟเพิ่มขึ้นแบบกระโชกโฮกฮาก เป็นผลให้เกิด
ความเครียดระหว่างรอยต่อของขา B-E และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมมีผล capacitance ระหว่างรอยต่อ B-E ด้วย จึงพออนุมานได้ว่า
ผลลัพธ์ของเสียงที่ได้จะไม่นิ่มนวล จึงเหมาะสำหรับงานกลางแจ้งมากกว่าฟังในบ้าน
แต่ยกเว้นสำหรับ Class H นะครับ เพราะออกแบบมาสำหรับฟังในบ้าน ท่านอาจจะสงสัยว่า amp เป็นร้อย ๆ วัตต์คงไม่มีใครฟังในบ้านหรอก
แปลกแต่จริงครับ เพราะว่า amp วัตต์สูงเวลาเปิดฟังดัง ๆ ในห้องฟังเพลง จะทำให้เสียงไม่เครียด
สมัยก่อน(ประมาณ 20 ปีก่อน) เมื่อทรานซิสเตอร์เปิดตัวมาต่อกรกับหลอด ด้วยกำลังที่สูงกว่า เกิดองค์กรไฮไฟขึ้นมาองค์กรหนึ่ง
ทดสอบและทดลองได้ผลดังนี้
- แอมป์ทรานซิสเตอร์ที่จะสามารถขึ้นทำเนียบระดับไฮไฟได้ จะต้องมีคุณสมบัติ คือ
        ต้องมีกำลังไม่น้อยกว่า 100 W. RMS ที่ 8 โอห์ม ที่ความถี่ 1 KHz ความเพี้ยนรวมไม่เกิน 0.1 %
       ในขณะที่แอมป์หลอด ไม่ระบุวัตต์ ระบุเพียงความเพี้ยนรวมไม่เกิน 5 %
ช่างแตกต่างกันเหลือเกินนะครับ แต่มันมีเหตุผล เพราะ อุปกรณ์ไบโพล่า มักจะให้ความเพี้ยนเชิงฮาร์มอนิคเป็นเลขคี่ ในขณะที่หลอดเป็นเลขคู่
และให้บังเอิญ เสียงเครืองดนตรีทุกชนิดก็จะให้ความถี่เชิงฮาร์มอนิคเป็นเลขคู่เสียด้วย
ดังนั้น แม้หลอดจะมีความเพี้ยนมากกว่า แต่หูมนุษย์ก็จะฟังไม่ค่อยออกครับ


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: KANONG ที่ พฤษภาคม 28, 2007, 11:32:03 AM
คุณ FIR2029 มีข้อมูลเรื่องกล่องแอมป์สวยๆราคาน่าสนก็ลองให้ข้อมูลบ้างก็ได้นะครับ ผมเองก็กะจะเข้ามาเก็บข้อมูลเรื่องแท่นแอมป์จากกระทู้นี้เหมือนกัน แต่ผิดคิวไปซะ  ;D ;D  คนละเรื่องกับเจ้าของกระทู้คงไม่ว่านะครับ


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: apisit sombutdee ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 03:22:50 PM
สุดยอดไปเลยครับ  คุณพี่ BenQ  ต้องขออภัย  ที่พิมพ์ คำว่า Claas ผิดนะครับ  พอดีผมรีบนะครับ ขออภัยด้วย 
พี่ครับ  อธิบายเรื่อง  คลาสแอมป์อย่างละเอียดอย่างนี้   ถามหน่อยครับพี่  คลาสไหนเจ๋งที่สุดครับ
และอีกหน่อยครับว่า   แอมป์  คราว  ตัวเป็นแสน  เป็นแอมป์  คลาส อะไรครับ  ทำไมถึงแพงจังครับ.


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nimit( Un ) ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 03:34:50 PM
 ;)  อ่านเล่นๆ  เก็บมาบอก
POWER AMP    Class  H  ที่มีประสิทธิภาพกว่า Class  AB ด้วยหลักการ Class  H 
 ที่มีการจ่ายแรงดันไฟให้กับ  POWER AMP  สามารถสวิงแรงดันขึ้นลงตามสัญญาณ INPUT กำลังงานทาง OUTPUT
จึงออกมาสูงกว่าและยังประหยัดพลังงานกว่า Class  AB   นอกจากนี้เพื่อตอบสนองเสียงงานดนตรีได้อย่างสมจริงและให้น้ำเสียงหนักแน่นไม่แข็งกระด้าง   8)


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nimit( Un ) ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 03:46:05 PM
เป็นเพาเวอร์แอมป์ Class H ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Class AB ด้วย หลักการของ Class H ที่มีการจ่ายแรงดันไฟให้กับเพาเวอร์แอมป์ สามารถปรับแรงดันขึ้นลงตามสัญญาณ อินพุต คือ ถ้าอินพุตต่ำก็จะจ่ายแรงดันไฟต่ำและถ้าอินพุตสูงก็จะจ่ายแรงดันไฟสูงตามขนาดของสัญญาณ อินพุตที่เข้ามา ทำให้แรงดันไฟตกคร่อมตัวทรานซิสเตอร์ที่เอาท์พุตมีค่าที่เหมาะสม ส่งผลให้มีการ Loss และความร้อนที่สะสมในตัวทรานซิสเตอร์เอาท์พุตต่ำลง กำลังงานทางเอาท์พุตจึงออกมาสูงกว่าและยังประหยัดพลังงานมากกว่า Class AB ด้วยความต้องการเพาเวอร์แอมป์ที่มีคุณภาพเสียงและกำลังที่ หนักแน่นจึงได้จัดชุดวงจรอินพุตให้มีอุปกรณ์น้อยที่สุดเพื่อลดระยะทางการเดินของสัญญาณให้สั้นที่สุด รวมทั้งการเลือก ใช้ IC Opamp ภาคอินพุตที่เหมาะสมกับงานเครื่องเสียงกลางแจ้ง ที่สามารถตอบสนอง ทุกความถี่ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนชุด Power Suppy ใช้หม้อแปลงเทอรอยด์ที่มีการคำนวณอย่างเหมาะสมกับ การใช้งานและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถโหลดต่อเนื่องได้อย่างสบาย และชุดวงจรเพาเวอร์แอมป์ ออกแบบให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยคัดเกรดไบโพล่าร์ทรานซิสเตอร์ให้ได้อัตราขยาย hfe ที่แมทช์กันมากที่สุด


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nimit( Un ) ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 03:56:42 PM
 :) :)  ต่อจากข้อมูลน้อง  BENQ  ครับ   :) :)
คลาสของเพาเวอร์แอมป์ ที่จริงผมเคยเขียนถึงลักษณะการทำงานของแอมปลิไฟร์วงจรต่างๆ เหล่านี้มาแล้ว ด้วยกลวิธีในการออกแบบภาคขยาย และวิธีการจัดไบอัสให้กับทรานซิสเตอร์นั่นเอง ได้แบ่งให้เกิดแอมป์คลาสต่าง ๆ มากมาย แต่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน คือ แอมป์คลาส A และคลาส AB จะขอสรุปสั้น ๆ เพื่อเป็นการทบทวนเรื่องคลาสของแอมป์ซึ่งเคยพูดถึงมาบ้างแล้ว ซึ่งจะขอยกเว้นภาคขยายประเภทอื่น ๆ อันไม่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน

CLASS A  
การจัดวงจรภาคขยายแบบนี้ จะมีการไบอัสกระแสให้กับทราสซิสเตอร์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณมาให้ขยาย ตัวทรานซิสเตอร์ก็ยังจะจต้องมีปริมาณกระแสไหลผ่านในปริมาณค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตัวเครื่องของแอมป์คลาส A จะมีความร้อนสูงกว่าการจัดวงจรแบบคลาสอื่น ๆ ข้อดีก็อาจจะมีตรงที่ค่าความเพี้ยนต่าง ๆ จะมีต่ำกว่าวงจรแบบอื่น ๆ และแอมป์คลาส A มักจะทำให้มีกำลังขับได้ไม่สูงนัก ถ้าผลิตแอมป์คลาส A ที่มีกำลังขับสูง ๆ ตัวเครื่องและส่วนของแผงระบายความร้อนจะต้องมีขนาดใหญ่กว่าปกติมาก

CLASS B  เป็นการจัดวงจรที่ต่างจากคลาส A โดยสิ้นเชิง คือเมื่อไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามา ก็จะไม่มีกระแสไหลผ่านทรานซิสเตอร์ จะมีกระแสไหลผ่านได้ก็ต่อเมื่อมีสัญญาณอินพุทเข้ามาเท่านั้น แอมป์คลาส B มักจะมีค่าความเพี้ยนสูงมาก แต่มันมีข้อดีที่จะทำเป็นแอมป์กำลังขับสูง ๆ ได้ ปัจจุบันไม่มีแอมป์คลาส B แท้ ๆ อีกแล้ว เนื่องจากคุณภาพเสียงไม่เป็นที่น่าพอใจ

CLASS AB  
แอมปลิไฟร์หรือเพาเวอร์แอมป์ซึ่งเป็นที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน การออกแบบจะนำข้อดีของแอมป์ทั้งคลาส A และคลาส B มาผสมผสานกัน คือ มีการปล่อยให้มีกระแสปริมาณน้อย ๆ ผ่านทรานซิสเตอร์จำนวนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณอินพุทเข้ามาเลย การทำงานปิดเปิดก็จะเป็นไปตามสัญญาณอินพุททั่วไป เพียงแต่ว่าวงจรนี้ จะไม่มีการ OFF ของกระแสทั้งหมด แม้ว่าจะไม่มีอินพุทเข้ามา
คุณสมบัติของเพาเวอร์แอมป์ที่ดีนั้นไม่อาจจะสรุปได้โดยง่าย ในแง่ของเทคนิคพื้นฐานที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงพื้นฐานที่ท่านผู้อ่านควรทราบไว้บ้าง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแอมปลิไฟร์เออร์ แต่ถ้าพิเคราะห์กันถึงวิธีการเลือกซื้อแล้ว เรามักจะจัดให้เพาเวอร์แอมป์ได้มีโอกาสจับคู่กับปรีแอมป์ แล้วทำงานขับลำโพงจริง ๆ เพื่อฟังผลของคุณภาพเสียง มากกว่าการพิจารณาคุณสมบัติของเพาเวอร์แอมป์เพียงเครื่องเดียว

บทสรุปที่เห็นเด่นชัดในทางปฏิบัติของเพาเวอร์แอมป์ที่ดี คือ  

1. พลังขับจะต้องสมบูรณ์ตลอดย่านความถี่ และระดับความดังไม่มีเสียงพร่าเพี้ยนเมื่อทำงานในระดับความดังสูง ๆ

2. มีน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่ผิดเพี้ยนความเป็นจริง เช่น เสียงจัด เสียงขุ่นมัว หรือเบลอ

3. ในระดับความดังแบบแบ็กกราวด์มิวสิก (เบา ๆ) เพาเวอร์แอมป์ที่ดี จะให้รายละเอียดของชิ้นดนตรีได้มากกว่าเพาเวอร์แอมป์ที่ไม่ดี ข้อสังเกตคือ แอมป์ขนาดกำลังขับสูง ๆ แม้จะเปิดในระดับความดังเท่ากับแอมป์ขนาดกำลังขับต่ำ ๆ แอมป์กำลังขับสูงจะให้เสียงที่มีรายละเอียดมากกว่าเสมอ

4. มีความเป็นกลางของน้ำเสียงสามารถจัดเข้ากับปรีแอมป์ได้หลากหลายและยังคงลักษณะบุคลิกเสียง ที่เป็นแฟล็ทได้เสมอ

5. ควรมีวงจรโพรเท็คชั้น ป้องกันตนเองได้ กรณีเอ๊าท์พุทช้อต โดยไม่ทำให้คุณภาพเสียงโดยรวมเสียหาย

6. การออกแบบ จะต้องคำนึงถึงการใช้งานจริงอันเหมาะสม ไม่ใช่แค่สวยงามที่รูปทรงของเครื่องแต่อย่างเดียวเท่านั้น

7. เพาเวอร์แอมป์ที่ดี ย่อมไม่เกี่ยงลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ซับซ้อน และต้องไม่มีอาการเสียงเครียดเมื่อเปิดฟังนาน ๆ

นั่นคือคุณสมบัติบางประการ ที่จะช่วยให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเลือกเฟ้นเวอร์แอมป์ที่ดีได้ แม้จะไม่ใช่สูตรสำเร็จทั้งหมด

ข้อสำคัญก็คือ คุณจะต้องคำนึงถึงคุณภาพเสียงที่ถูกใจ และถูกหูของคุณด้วย

เพาเวอร์แอมป์ที่ยกตัวอย่างในภาพประกอบของบทความตอนนี้ คือส่วนหนึ่งของเพาเวอร์แอมป์ยอดนิยมในปัจจุบัน ในระดับราคากลาง ๆ จนถึงราคากลางสูง ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถที่จะหาโอกาสไปทดลองฟัง ได้จากตัวแทนจำหน่ายของแต่ละยี่ห้อ

ที่มา  http://www.wijitboonchoo.com/basicaudio/index.php?subaction=showfull&id=1053054578&archive=&cnshow=news&start_from= (http://www.wijitboonchoo.com/basicaudio/index.php?subaction=showfull&id=1053054578&archive=&cnshow=news&start_from=)


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: yongtv ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 09:52:46 PM
ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: CASE. ของเครื่องขยายคืออะไร อยากจะรู้จัง!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: chowarin ที่ มิถุนายน 01, 2007, 09:08:01 AM
เอว่าแต่ คลาส ไอ หละครับอยากรู้จังว่าเป็นยังไงครับ เห็นคุณเอก เขาทำอยู่ ว่าจะไปทดสอบที่บ้านอาจารย์ น้อย อยู่ครับอยากรู้หลักการทำงานจังนะครับ :( :(